SET ได้ sentiment บวก จากการปรับเกณฑ์ให้จูงใจผลประโยชน์ทางภาษืมากขึ้น สำหรับกองทุน ThaiESG สร้างสัญญาณรีบาวด์ทางเทคนิคได้ต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1320 -1325 จุด อย่างไรก็ตาม โดยรวมยังไม่มีสัญญาณกลับตัว ทำให้กรอบบนยังจำกัด ด้านแนวรับอยู่ที่ 1310 และ 1300 จุด หากต่ำกว่า กลับมาเป็นลบ
ประเด็นสำคัญ
• แคนาดาอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถ EV จากจีน รวมถึงเพิ่มข้อกำหนดในการลงทุนในประเทศแคนาดา หลังเชื่อว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของแคนาดา มีการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากจีน
• ก. คลัง ปรับเงื่อนไขให้สิทธิประโยชน์ภาษีกองทุน T-ESG ลดหย่อนภาษีได้ 3 แสนบ. ลดเวลาถือครองเหลือ 5 ปี เตรียมเสนอเข้า ครม. ใน 2 สัปดาห์ คาดมีเม็ดเงินใหม่ 3 หมื่นลบ. ต่อปี นอกจากนี้ ก. คลัง ร่วมกับก.ล.ต.-ตลท. จัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ใหม่ 5 แสนลบ. ระดมทุนขายหน่วยลงทุนให้ ปชช. 1.5 แสนลบ.
• พาณิชย์ ระบุช่วง 5M67 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในไทย 317 ราย เพิ่มขึ้น 16% จาก 273 ราย มีมูลค่าการลงทุน 7.2 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 58% จาก 2.63 หมื่นลบ. ขณะที่มีการจ้างงานคนไทยลดลง 1,787 ราย หรือลดลง 60%
• กบน. เพิ่มเงินชดเชยราคาดีเซลขึ้นอีกครั้งเป็น 2.02 บ. ต่อลิตร จากเดิม 1.60 บ. ต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ไม่สามารถปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลได้ เนื่องจากเต็มเพดานที่ ครม. กำหนดให้ไม่เกิน 33 บ. ต่อลิตร ซึ่งปัจจุบันราคาอยู่ที่ 32.94 บ.ต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันต้องประสบปัญหาเงินไหลออก วันละ 19.81 ลบ.หรือ 594 ลบ. ต่อเดือน สถานะกองทุนน้ำมัน ล่าสุด ณ วันที่ 23 มิ.ย. ติดลบ 1.1 แสนลบ.
• BOI-ทีมไทยแลนด์ จัดสัมมนาใหญ่เชิญชวน 400 นลท. ญี่ปุ่น ย้ายฐานผลิตเข้าไทยลดความเสี่ยงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ด้านรัฐบาลเร่งจัดทำ FTA 20 ฉบับ และหาพลังงานสะอาด เตรียมบุคลากรรองรับ
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังอยู่ในภาวะผันผวนและเปราะบางเช่นเดิม เนื่องจากปัจจัยการเมืองในประเทศยังยืดเยื้อทำให้ SET ยังมีโอกาส Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค อย่างไรก็ดีมีความคาดหวังว่าปัจจัยเชิงเศรษฐกิจ อาทิเช่น ดัชนีอุตสาหกรรมและรายงานประชุม กนง. อาจจะส่งสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการผลิตได้ นอกจากนั้นยังมีปัจจัยบวกจากการประกาศนโยบายสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุน ทั้งการปรับเพิ่มวงเงินกองทุน T-ESG และมาตรการ Uptick ที่จะเริ่มใช้วันที่ 1 ก.ค. ส่วนปัจจัยต่างประเทศในสัปดาห์นี้คาดยังไร้ปัจจัยใหม่ โดยเน้นติดตามดัชนี PCE พ.ค. ของสหรัฐคาดทรงตัว MoM และปรับขึ้น 2.6%YoY (ชะลอตัวจาก 2.7%YoY ในเดือน เม.ย.) ซึ่งไม่น่ากดดันตลาดมากนัก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มองตลาดหุ้นไทยยังผันผวนและเปราะบาง จากกังวลความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ ส่วนปัจจัยต่างประเทศในสัปดาห์นี้คาดยังไร้ปัจจัยใหม่ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้
1) หุ้น Global Play ที่คาดผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องและได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่จะขึ้นกับการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่แน่นอน เลือก KCE SCGP TU MINT
2) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์ Cover Short หลังตลท. เริ่มใช้มาตรการ Uptick ตั้งแต่ 1 ก.ค. 67 เลือก HANA TOP BEM KCE MINT OSP BBL SCGP AOT
3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากการเข้าสู่บรรยากาศแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ยูโร 2024) ในช่วงวันที่ 14 มิ.ย.-14 ก.ค. 67 เลือก ADVANC TRUE CPALL MINT TU
4) สถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเบาบางลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Bent ปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบล่างของช่วง 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
MINT 1 ในหุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยว คาดผลการดำเนินงาน 2Q67 โตทั้ง YoY และ QoQ จากการเข้าสู่ High Season ของยุโรป อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 ที่เยอรมนี (14 มิ.ย.-14 ก.ค.) Valuation ยังไม่แพง ซื้อขายบน PER 67F ที่ 23 เท่า ใกล้เคียง -1SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต และยังไม่สะท้อนกำไรปกติปี 2567 คาดเติบโต 12%YoY สู่ 8 พันลบ.
BCP มองได้ประโยชน์จากราคาก๊าซในยุโรปที่ฟื้นตัว ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นใน มิ.ย. คาดช่วยหนุนผลประกอบการจากขาดทุนสต็อกลดลง ค่าการกลั่นฟื้นตัวนำโดยดีเซล และมีโอกาสดีขึ้นอีก จากความต้องการใช้น้ำมันเบนซินและน้ำมันเครื่องบินตามฤดูกาล Valuation ไม่แพง PER 67F ที่ 4 เท่า คาด Div. Yield 6%
ข่าวเด่น