คาด SET แกว่งในกรอบ โดยตลาดที่ขาดปัจจัยหนุน ทำให้กรอบบนยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1305 และ 1310 จุด ขณะที่มาตรการ uptick คาดช่วยลดความผันผวนของตลาด โดยมีแนวรับ 1290 จุด เป็นจุดรองรับ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยการเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้มีความเสี่ยงด้าน downside ได้ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1280 จุด
ประเด็นสำคัญ
• ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐ มิ.ย. โดย ISM ปรับลดลงสู่ระดับ 48.5 ต่ำกว่าที่ตลาดคาด ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายด้านการก่อสร้าง พ.ค. ลดลง 0.1%MoM สวนทางตลาดคาดจะเพิ่มขึ้น 0.2%MoM
• ศาลฎีกาสหรัฐระบุโดนัลด์ ทรัมป์และอดีต ปธน. คนอื่นๆ ได้รับการคุ้มครองบางส่วนจากการดำเนินคดีทางอาญา ถือเป็นชัยชนะทางกฎหมายครั้งสำคัญของผู้สมัครชิงตำแหน่ง ปธน. จากพรรครีพับลิกัน
• ผลการเลือกตั้งรอบแรกของฝรั่งเศส พรรคแนวร่วมแห่งชาติ (RN) พรรคขวาจัดชนะการเลือกตั้ง แต่ยังไม่สามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภา ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งรอบ 2 ในวันที่ 7 ก.ค.
• ก. พลังงานเตรียมประชุมศึกษาแผนการผลิตไฟฟ้าตาม PDP ฉบับใหม่ (PDP2024) ที่ปรับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. จากปัจจุบันที่ 29% เหลือ 17% ในช่วงปลายแผนฯ ปี 2580 ต้องไปทบทวนรูปให้หมาะสมกับความสามารถในการลงทุนของ กฟผ.
• BOI ระบุปัจจุบันมี 37 โครงการ data center และ cloud service ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนมูลค่ากว่า 9.86 หมื่นลบ. โดยไทยเป็นหนึ่งใน ปท. ยุทธศาสตร์การลงทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของ AI
• ก. คลังระบุความคืบหน้าจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ใหม่ว่า จะได้ข้อสรุปภายใน 2 เดือนนี้ โดยขณะนี้มี 2 ทางเลือก คือ จัดตั้งเป็นกองใหม่กองที่ 3 หรือ ระดมทุนมาใส่ไว้ในกองเดิมเพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการจัดตั้ง
• วานนี้ ตลท. บังคับใช้ Uptick rule เป็นวันแรก มูลค่า Short Sales เหลือ 1,196 ลบ. ลดลงจาก มิ.ย. ที่มีมูลค่า Short Sales เฉลี่ยวันละ 6,946 ลบ.
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังเปราะบางและแกว่งตัวในกรอบแคบ ระหว่างรอความชัดเจนของปัจจัยการเมืองในประเทศซึ่งในวันที่ 3 ก.ค. ศาล รธน. จะมีการนัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล และวันที่ 10 ก.ค. ศาล รธน. จะมีการนัดพิจารณาคดียื่นวินิจฉัยคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศติดตามดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ มิ.ย. จีน อียูและสหรัฐฯ ซึ่งคาดจะออกมาทรงตัวถึงขยายตัวเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มองตลาดหุ้นไทยยังเปราะบางและแกว่งตัวในกรอบแคบ ระหว่างรอความชัดเจนของปัจจัยการเมืองในประเทศและปัจจัยหนุนใหม่ๆ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้
1) หุ้นที่คาดจะได้อานิสงส์ Cover Short หลัง ตลท. เริ่มใช้มาตรการ Uptick ตั้งแต่ 1 ก.ค. 67 และเป็นหุ้นพื้นฐานดีมี ESG Rating ระดับ A-AAA เลือก HANA TOP BEM MINT OSP BBL SCGP AOT
2) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากแผนปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG ใหม่ โดยขยายวงเงินเป็น 3 แสนบาทและลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี เลือก ADVANC CPALL BDMS BBL BEM
3) หุ้น Global Play ที่คาดผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องและได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่จะขึ้นกับการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่แน่นอน เลือก KCE SCGP TU MINT (ทั้งนี้ KCE SCGP แนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว หลังมีแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมาอ่อนแอ)
4) สถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเบาบางลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Bent ปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบล่างของช่วง 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
TOP ระยะสั้นคาดได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ขณะที่ค่าการกลั่นฟื้นจากจุดต่ำสุดแล้ว หนุนโดยความต้องการใช้น้ำมันเบนซินและน้ำมันเครื่องบินตามฤดูกาล คาดผลการดําเนินงานของธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับตัวดีขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากอุปทานที่ตึงตัวในเอเชีย
HANA มองผลการดำเนินงานจะทยอยฟื้นตัวใน 2Q67 และคาดฟื้นตัวชัดเจนใน 2H67 หนุนจากวงจรการเปลี่ยนสมาร์ทโฟน AI ธุรกิจ RFID และธุรกิจ PMS คาดไม่ได้รับผลกระทบจากราคาทองแดงและทองคำที่เพิ่มขึ้น เพราะส่งผ่านต้นทุนวัตถุดิบไปยังลูกค้าได้ และได้รับผลกระทบจำกัดจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
ข่าวเด่น