NCP กำหนดราคาขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 50 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 2.00 บาท เปิดจองซื้อ 19 และ 23-24 กรกฏาคม 2567 ระดมทุนเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถการเติบโตแบบก้าวกระโดด เพื่อเป็นจิกซอว์ตัวสุดท้ายของโลกยุคดิจิทัลที่ E-commerce กลายเป็นช่องทางหลักในการจำหน่ายสินค้าและบริการ คาดเทรดกระดาน (mai) ภายในเดือนกรกฏาคมนี้
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ไนซ์ คอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCP ผู้นำในธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าผ่านทางโทรศัพท์ (Telesales), ธุรกิจการให้บริการเพิ่มยอดขายสินค้าจากการขายครั้งแรก (Upselling Service) และธุรกิจการให้บริการบริหารพนักงานขาย (Dedicated Telesale Outsourcing) เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้ง ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม (Joint Lead Underwriters) จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) พร้อมแต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เพื่อเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ “NCP” คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจบริการ ภายในเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจและความแข็งแกร่งของฐานะการเงินแก่บริษัท
ทั้งนี้ NCP เป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และต่อเนื่องในอนาคต สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์โลก โดยผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี (2564 – 2566) บริษัทมีรายได้รวม 191.23 ล้านบาท 181.03 ล้านบาท 173.11 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 25.56 ล้านบาท 20.22 ล้านบาท และ 12.53 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ผลประกอบการงวด 3 เดือนแรกปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 45.30 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2.75 ล้านบาท ตามลำดับ
ด้าน นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายร่วม กล่าวว่า NCPได้กำหนดราคาขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 27.78 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ โดยกำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่ 2.00 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่าเสนอขาย 100 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ หรือ Price to Earnings Ratio : P/E เท่ากับ 28.14 เท่า นับเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง สอดคล้องกับสภาวะของตลาดในปัจจุบันและอัตราการเติบโตของบริษัทในอนาคต ถือว่ามีความเหมาะสมสำหรับนักลงทุน โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นในวันที่ 19 และ 23-24 กรกฎาคม 2567 และมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก
เช่นเดียวกับ นางสาวออมสิน ศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนร่วม กล่าวว่า ด้วยจุดเด่นของ NCP ที่ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์และประสบการณ์ด้านการขายทางโทรศัพท์มากว่า 20 ปี มีความความเข้าใจในธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างลึกซึ้ง มีพนักงานขายสินค้าทางโทรศัพท์ที่เชี่ยวชาญ มีฐานข้อมูลลูกค้าเป้าหมายของบริษัทมากกว่า 5 ล้านรายชื่อ รวมถึงมีข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในการจัดหาบุคลากร ทำให้ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจให้การยอมรับ โดยปัจจุบัน NCP มีคู่ค้าพันธมิตรมากกว่า 42 ราย มีผลิตภัณฑ์จัดจำหน่ายมากกว่า 57 แบรนด์ สินค้า รวม 203 รายการ แบ่งเป็น สินค้าของคู่ค้าพันธมิตร 182 รายการ และสินค้า House Brand ของบริษัท 21 รายการ พร้อมมองว่า อัตราการเติบโตธุรกิจ E-Commerce ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว นับเป็นโอกาสและปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจ NCP ก้าวกระโดดสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
ขณะที่ นายศรัณย์ เวชสุภาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไนซ์ คอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCP เปิดเผยว่า เงินที่ได้รับจากการเสนอขายหลักทรัพย์จะนำไปใช้เพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ เช่น การก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ จำนวน 30 ล้านบาท ภายในไตรมาส 1 ปี 2568, ก่อสร้างสถานที่ทำงานในเรือนจำ จำนวน 10 ล้านบาท ภายในปี 2569, พัฒนาระบบเทคโนโลยีซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจใหม่และพัฒนาระบบเครือข่ายเพื่อรองรับการเพิ่มจำนวนพนักงาน จำนวน 5 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2568 และเป็นเงินทุนหมุนเวียน นับเป็นการเพิ่มศักยภาพ และขีดความสามารถ ที่จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของ NCP ให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
นอกจากนี้ กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ได้ทำสัญญากับบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก เพิ่มเติม เพื่อขอล็อคหุ้นในสัดส่วนที่เหลือจากการติด Silent period เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยงดการเสนอขาย หรือโอนด้วยวิธีการใดๆ นับแต่วันที่หุ้นเริ่มซื้อขาย (Lock-Up) เพื่อแสดงความจริงใจและสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดแก่นักลงทุน
การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการดำเนินธุรกิจของทีมผู้บริหาร เพื่อมุ่งสู่ผู้นำในธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าผ่านทางโทรศัพท์ (Telesales), ธุรกิจการให้บริการเพิ่มยอดขายสินค้าจากการขายครั้งแรก (Upselling Service) และธุรกิจการให้บริการบริหารพนักงานขาย (Dedicated Telesale Outsourcing) ที่พร้อมรองรับการเติบโตของตลาด E-Commerce อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นการที่ Telesales สามารถตอบโจทย์การให้บริการในทุกธุรกิจ ช่วยสร้างรายได้และทำกำไรให้กับผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง NCP จึงเปรียบเสมือนเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่เข้าไปสนับสนุน Digital Transformation เพื่อให้การดำเนินธุรกิจและการให้บริการลูกค้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
“การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นับเป็นก้าวสำคัญในการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดย NCP พร้อมมุ่งมั่นขยายธุรกิจทางด้าน Telesales เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์และการบริการของบริษัท แบบ One Stop Service ที่ครอบคลุมทุกความต้องการให้กับพันธมิตรธุรกิจในทุกมิติ” นายศรัณย์ กล่าว
ข่าวเด่น