คาด SET ยังมี upside จำกัด และอ่อนตัวได้ โดยมีปัจจัยกดดันจาก 1) เงินบาทกลับมาอ่อนค่า เป็นลบต่อทิศทาง fund flow 2) sentiment ลบ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลง และ 3) แรงขายลดความเสี่ยงก่อนหยุดยาว ด้านกรอบบนยังจำกัด โดยมีแนวต้าน 1330-1335 จุด ส่วนกรอบล่างมีแนวโน้มลงหา มีแนวรับ 1320 และ 1315 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
• จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วของสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ 2.43 แสนราย สูงสุดตั้งแต่ 12 ส.ค. 66 และสูงกว่าตลาดคาด
• ECB มีมติคง ดบ. นโยบายตามตลาดคาด โดย ดบ. เงินฝากอยู่ที่ 3.75% ดบ. เงินกู้อยู่ที่ 4.50% ดบ. รีไฟแนนซ์อยู่ที่ 4.25%
• ก. คลังคาดประชุม ครม. สัปดาห์หน้า จะพิจารณาปรับเงื่อนไขลงทุนของกองทุน Thai ESG ส่วนการเพิ่มเงินลงทุนในกองทุนวายุภักษ์จะทยอยเสนอ ครม. เร็วๆ นี้
• กรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุ 1H67 ยอดจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ลดลง 2%YoY มูลค่าลดลง 66%YoY ด้านธุรกิจเลิกกิจการ 1H67 ลดลง 1.5%YoY แต่มูลค่าเพิ่มขึ้น 55YoY คาดแนวโน้มปีนี้ธุรกิจเกิดใหม่เพิ่มตามเป้าหมาย 5-15%
• ก. พลังงาน ระบุค่าไฟฟ้างวด ก.ย.-ธ.ค. 67 ที่มีกระแสข่าวจะปรับขึ้น นโยบายของรัฐบาลคือจะตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 4.18 บ.ต่อหน่วย เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับ ปชช.
• วานนี้ รฟม. ลงนามร่วมทุนกับ BEM ในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสีส้มช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี คาดเปิดให้บริการเฟสแรกส่วนตะวันออกปลายปี 2570 และเปิดให้บริการทั้งเส้นทางใน พ.ย. 73 ส่วนค่าโดยสารกำหนด 17-42 บ. ประเมินผู้โดยสารเข้าระบบ 4 แสนคนต่อวัน
• ตลท. เตรียมทำความเข้าใจกับ บจ. ช่วงปลาย ก.ค. 67 ในการเพิ่มความเข้มข้นประเมินความยั่งยืน บจ. ใน SET ESG Ratings เน้นนำข้อมูลเปิดเผยสู่สาธารณะทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังเปราะบางและมี Upside จำกัด เนื่องจากปัจจัยการเมืองในประเทศยังยืดเยื้อและยังต้องรอความชัดเจนของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ส่วนปัจจัยต่างประเทศคาดจะได้แรงหนุนจากแนวโน้มผลประกอบการ 2Q67 ของ บจ. ในสหรัฐที่น่าจะยังแข็งแกร่ง ภายใต้เศรษฐกิจจีนที่ยังมีแนวโน้มอ่อนแอและเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลง รวมถึงท่าทีของ ECB ที่คาดจะยังคงดอกเบี้ย ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มองตลาดหุ้นไทยยังมี Upside จำกัด หลังรอความชัดเจนของปัจจัยต่างๆ ในประเทศ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้
1) หุ้นที่คาด 2Q67 กำไรจะยังสามารถเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง เลือก MINT BEM OSP TU KCE CPF
2) หุ้นที่คาดจะได้อานิสงส์ Cover Short หลัง ตลท. เริ่มใช้มาตรการ Uptick ตั้งแต่ 1 ก.ค. 67 และเป็นหุ้นพื้นฐานดีมี ESG Rating ระดับ A-AAA เลือก HANA TOP BEM MINT OSP BBL SCGP AOT
3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากแผนปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG ใหม่ โดยขยายวงเงินเป็น 3 แสนบาทและลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี เลือก ADVANC CPALL BDMS BBL GULF
4) ราคาน้ำมันดิบ Brent ฟื้นตัว แม้ความไม่สงบในตะวันออกกลางยังไม่กระจายออกในวงกว้าง แต่ยังมีการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดง และโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันในรัสเซียกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยประเมินกรอบราคา 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
CPALL 2Q67 คาดกำไรสุทธิ 5.8 พันลบ. โต 31%YoY ดีสุดในกลุ่มพาณิชย์หนุนจากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น รวมทั้งมีส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก CPAXT ส่วนแนวโน้มกำไร 2H67 คาดจะเติบโต YoY โดดเด่นมากกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มฯ เช่นกัน ซึ่งเกิดจากการเติบโตที่แข็งแกร่งทั้งจากธุรกิจ CVS และ CPAXT
KTB 2Q67 คาดมีกำไร 10,833 ลบ. โต 7%YoY จาก NIM และ non-NII เพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจุบัน Valuation ถูก Div. Yield ดี ความเสี่ยงคุณภาพสินทรัพย์ต่ำ กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจาก credit cost ที่ลดลง อีกทั้งมองมี Upside จาก NIM (โอกาสที่จะคง ดบ. นโยบาย) และแนวโน้มเพิ่มอัตราจ่ายเงินปันผล
ข่าวเด่น