คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบ โดยมีกรอบล่างบริเวณ 1300 จุด และกรอบบนบริเวณ 1315 จุด โดยปัจจัยหนุนดีลควบ GULF และ INTUCH ทำให้กรอบล่างรองรับได้ และลุ้นฟื้นตัวหากรอบบน อย่างไรก็ตาม ความกังวลด้านปัจจัยการเมือง และนักลงทุนในตลาดรอติดตามผลประชุมเฟด 30-31 ก.ค. ทำให้กรอบบนถูกจำกัด
ประเด็นสำคัญ
• ดัชนี Headline PCE มิ.ย. ของสหรัฐ +2.5%YoY และ +0.1%MoM ส่วนดัชนี Core PCE มิ.ย. +2.6%YoY และ +0.2%MoM ตามที่ตลาดคาด
• รมว. คลังสหรัฐระบุตลาดเกิดใหม่รวมถึงกลุ่ม G20 บาง ปท. มีความกังวลกำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรมของจีน และจะกดดันจีนให้เปลี่ยนรูปแบบ ศก.
• ทางการจีนระบุกำไร บ. ในภาคอุตสาหกรรม มิ.ย. +3.6%YoY และ 1H67 +3.5%YoY แต่การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง -11% ใน 1H67 ทำให้ตลาดกังวลอุปสงค์ที่ซบเซาในจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก
• ยอดการจัดส่ง iPhone ในจีน 2Q67 ลดลง 3.1%YoY ขณะที่ยอดการจัดส่งสมาร์ตโฟนระบบแอนดรอยด์เพิ่มขึ้น 11%YoY ส่งผลให้แอปเปิ้ลหลุด 5 อันดับแรกของสมาร์ตโฟนในจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี
• พาณิชย์ระบุการส่งออกไทย มิ.ย. 67 มูลค่า 2.48 หมื่นล้านเหรียญ หดตัว 0.3% การนำเข้ามูลค่า 2.46 หมื่นล้านเหรียญ ขยายตัว 0.3% ดุลการค้าเกินดุล 218 ล้านเหรียญ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2
• คลังปรับเพิ่มประมาณการ GDP ไทยปี 67 จาก 2.4% เป็น 2.7% และคาด GDP ทั้งปียังมีโอกาสโตถึง 3% หนุนจากภาคการท่องเที่ยวและส่งออก คาดโครงการดิจิทัลวอลเล็ตช่วยกระตุ้น ศก. โต 1.2-1.8%
• บอร์ด EV เห็นชอบมาตรการปรับลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารขนาดที่นั่งไม่เกิน 10 คนแบบไฮบริด (HEV) ตั้งแต่ปี 2571-75 สำหรับผู้ผลิตที่ใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ หนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ลุ้นรีบาวด์ได้แต่ยังมี Upside จำกัด เนื่องจากยังรอติดตามประกาศผลประกอบการ 2Q67 ของบจ. ไทยกลุ่ม Real Sector ซึ่งคาดจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ยังรอความชัดเจนของปัจจัยการเมืองในประเทศ ส่วนปัจจัยต่างประเทศคาดว่ามีโอกาสรีบาวด์ได้หลังสัปดาห์ก่อนมีแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีออกมา ส่วนนโยบายการเงินของ FED และ BoE คาดยังมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยเช่นเดิม และต้องติดตามผลประกอบการ 2Q67 ของ บจ. ในสหรัฐที่ยังจะออกมาซึ่งคาดแข็งแกร่ง ขณะที่เศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอและสงครามเทคโนโลยีที่มีท่าทีรุนแรงขึ้นยังเป็นความเสี่ยงของตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มองตลาดหุ้นไทยลุ้นรีบาวด์แต่ยังมี Upside จำกัด ระหว่างรอความชัดเจนของปัจจัยในประเทศและติดตามงบ 2Q67 ของบจ. ไทย ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้
1) หุ้นกลุ่ม Earnings Play ซึ่งคาด 2Q67 กำไรจะยังสามารถเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง เลือก MINT BEM OSP TU CPF TRUE AMATA
2) หุ้นคาดได้อานิสงส์ Cover Short หลัง ตลท. เริ่มใช้มาตรการ Uptick ตั้งแต่ 1 ก.ค. 67 และเป็นหุ้นพื้นฐานดีมี ESG Rating ระดับ A-AAA หรืออยู่ใน Global Sustainability Index เลือก DELTA TOP BEM MINT AOT
3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากแผนปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG ใหม่ โดยขยายวงเงินเป็น 3 แสนบาทและลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี เลือก ADVANC AOT CPALL BDMS BBL KTB GULF
4) ราคาน้ำมันดิบ Brent ฟื้นตัว แม้ความไม่สงบในตะวันออกกลางยังไม่กระจายออกในวงกว้าง แต่ยังมีการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดง และโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันในรัสเซียกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยประเมินกรอบราคา 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
BBL ราคาหุ้นปรับลง 7%YTD เป็นโอกาสเข้าซื้อ มองว่ามีปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจาก 1) การตั้งสำรอง (credit cost) ลดลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ 2) การเติบโตของสินเชื่อที่โดดเด่น 3) NIM ที่แข็งแกร่ง และ 4) อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลง ยังคงเลือกเป็นหุ้นเด่นกลุ่มธนาคาร แนะนำราคาซื้อวันนี้ไม่เกิน 136 บ.
KCE 2Q67 คาดกำไรปกติดีขึ้นจากการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อค้างส่งและมาตรการลดต้นทุน มองได้ผลบวกจากกรณีสหรัฐฯ/ยุโรปจะตั้งกำแพงภาษีกับ EV จากจีน อีกทั้งราคาหุ้นยัง laggard เมื่อเทียบกับหุ้นอื่นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กฯ ไทยและผู้ผลิต PCB สำหรับรถยนต์ แนะนำราคาซื้อวันนี้ไม่เกิน 44 บ.
ข่าวเด่น