เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ ปี 2024 คาดส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงไทยโต 19.5% ไทยควรเจาะตลาดพรีเมียมรับเทรนด์ผู้บริโภคยอมจ่ายสูง


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2024 จะอยู่ที่ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 19.5% จากปีก่อนที่หดตัว 15.0% 
 
• ไทยควรเจาะตลาดพรีเมียมรับเทรนด์ผู้บริโภคยอมจ่ายสูง เพื่อลดความเสี่ยงด้านการแข่งขันที่รุนแรงและมาตรฐานทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้น

ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามความนิยมเลี้ยงสัตว์ในหลายประเทศทั่วโลก โดยมีปัจจัยสำคัญจากพฤติกรรมนิยมเลี้ยงสัตว์เสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีกำลังซื้อสูงและพร้อมที่จะจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง อาทิ สหรัฐฯและสหภาพยุโรป (รูปที่ 1) 
 
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทั้งจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี รวมถึงสภาพสังคมที่มีขนาดครอบครัวเล็กลง ไม่แต่งงานหรือมีบุตรลดลง เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่งผลให้ความนิยมเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยไปตลาดโลกปี 2024 อาจอยู่ที่ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 19.5% เทียบกับปีก่อนที่หดตัวถึง 15.0% (รูปที่ 2) โดยเป็นการเติบโตทั้งในฝั่งของปริมาณความต้องการ ที่ทยอยฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ ประกอบกับความนิยมเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสสำหรับการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย เนื่องจากไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 4 ของโลก และมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบที่ใช้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นผลพลอยได้ของอุตสาหกรรมเกษตรและประมงที่มีอยู่ในประเทศ เช่น แป้ง ธัญพืช เศษอาหารทะเล และฝั่งของราคาที่ขยับขึ้นตามต้นทุนการผลิต อาทิ ค่าแรงงาน บรรจุภัณฑ์ ขนส่ง ไฟฟ้า 

ตลาดหลักยังเป็นตัวผลักดันการเติบโตของการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงในปี 2024 
 
• สหรัฐฯและอิตาลี (คิดเป็นสัดส่วน 34% ของมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งหมด) ซึ่งน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้หลังจากหดตัวสูงในปีก่อน จากปริมาณสินค้าเหลือคงค้างในระดับสูงได้ปรับลดลง และความต้องการทยอยปรับขึ้น 
 
• ญี่ปุ่น (คิดเป็นสัดส่วน 16% ของมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งหมด) คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่อง แต่อยู่ในทิศทางที่ชะลอตัว จากความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและราคาต่อหน่วยสูงขึ้น จากความใส่ใจเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพสัตว์มากขึ้น แม้จำนวนสัตว์เลี้ยงจะลดลง

ขณะที่ตลาดรองที่มีส่วนแบ่งตลาดน้อย แต่มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง 
 
• อังกฤษ น่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากความต้องการอาหารสัตว์ในประเทศที่ขยายตัวดี ตามจำนวนสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัข ซึ่งมีมากที่สุดในแถบยุโรป 
 
• นิวซีแลนด์ ไทยส่งออกได้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งนอกจากอานิสงส์จากข้อตกลงทางการค้า FTA ไทย-นิวซีแลนด์ ที่ทำให้ได้เปรียบด้านราคาแล้ว นิวซีแลนด์ยังเป็นประเทศที่เลี้ยงสัตว์ ในอัตราเฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เอื้อต่อการขยายตลาดของไทย 

แม้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2024 อาจกลับมาฟื้นตัว แต่ระยะข้างหน้ายังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สำคัญ 3 ประเด็น คือ

1) การแข่งขันกับคู่แข่งที่รุนแรง แม้ในตลาดหลักไทยจะครองตำแหน่งแหล่งนำเข้าอันดับ 1 แต่คู่แข่งอื่นๆ ก็มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคู่แข่งที่มีความได้เปรียบด้านราคาและระยะขนส่งที่ใกล้ เช่น ส่วนแบ่งตลาดของเม็กซิโกและกัมพูชาที่เติบโตต่อเนื่องติดกัน 4 ปี ในตลาดสหรัฐฯ ส่วนในญี่ปุ่น ส่วนแบ่งตลาดของเกาหลีใต้ปี 2023 เพิ่มสูงเป็น 2 เท่าจากปี 2021 ขณะที่ไทยมีสัญญาณของต้นทุนการผลิตที่ปรับขึ้น จึงทำให้ไทยอาจเสียเปรียบการแข่งขันด้านราคา
 
2) พฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้สอดรับไปกับตลาดเป้าหมาย อาทิ เทรนด์เลี้ยงสัตว์ในรูปแบบของ Pet Premiumization ที่เติบโตในตลาดสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ยังยอมลงทุนกับการใช้จ่ายเลือกซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง เพื่อยกระดับดูแลสัตว์เลี้ยงให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรือรักษาชีวิตให้อยู่ยืนยาว สะท้อนจากยอดการใช้จ่ายด้านอาหารสัตว์เลี้ยงที่ยังเติบโตสูงกว่าค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ เป็นต้น (รูปที่ 3)
 
3) มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เข้มงวดมากขึ้นจากผู้นำเข้า เช่น การลดการปล่อยคาร์บอน (CO2) การตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้า (NTBs) กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ใช้วัตถุดิบที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับทำลายสิ่งแวดล้อมหรือไม่ยั่งยืน (อาทิ ปลาป่น กากถั่วเหลือง) โดยเฉพาะตลาดส่งออกในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป

ไทยควรเจาะตลาดพรีเมียมรับเทรนด์ผู้บริโภคยอมจ่ายสูง เพื่อลดความเสี่ยงด้านการแข่งขันที่รุนแรง มาตรฐานทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้น
 
• เร่งพัฒนาอาหารสัตว์เลี้ยงในกลุ่มพรีเมียมหรือมีมูลค่าเพิ่มสูง ให้สอดรับกับเทรนด์บริโภคในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพเทียบเท่าอาหารสำหรับมนุษย์ (Human Grade) อาหารสัตว์เลี้ยงออร์แกนิค อาหารสัตว์เลี้ยงจากโปรตีนทางเลือก (พืช/แมลง) อาหารที่มีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น สำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีน้ำหนักเกิน สูงวัย ต้องการอาหารเฉพาะโรค บำบัดอาการเจ็บป่วย หรือเสริมวิตามินบำรุง เป็นต้น 
 
• สร้างแบรนด์สินค้าที่เป็นของตัวเองให้มากขึ้น จากเดิมที่เน้นรับจ้างผลิต (OEM) ให้แบรนด์ชั้นนำของโลก คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของจำนวนผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่การผลิตภายใต้แบรนด์ไทยมีอยู่เพียง 20%  เพื่อเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันให้เทียบเท่าผู้เล่นรายสำคัญของโลก อาทิ เยอรมนี สหรัฐฯ ฝรั่งเศส ที่จะส่งออกแบรนด์ตัวเองเป็นหลัก
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 08 ส.ค. 2567 เวลา : 14:58:54
25-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 25, 2024, 9:02 am