คาด SET ปรับขึ้นได้ต่อ ด้วยแรงหนุนทิศทาง fund flow ที่คาดไหลเข้า จากเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง และ sentiment บวกตลาดหุ้นสหรัฐ หลังคลายกังวลเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ด้านแนวต้านสำคัญอยู่ที่กรอบบนเดิมบริเวณ 1330-1335 จุด หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะเป็นสัญญาณบวกในภาพรวม ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1310 และ 1300 จุด ประเด็นสำคัญถัดไป ติดตามประชุมกนง. วันพรุ่งนี้
ประเด็นสำคัญ
• คามาลา แฮร์ริส ระบุหากชนะเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐ จะหนุนแผนขึ้นภาษีนิติบุคคลสหรัฐเป็น 28% รวมทั้งลดภาษีสำหรับชนชั้นกลาง เพิ่มแรงจูงใจสำหรับผู้ซื้อบ้านครั้งแรก และแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ
• รมว. ตปท. สหรัฐระบุ ความพยายามทางการทูตครั้งล่าสุดที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซาอาจเป็นโอกาสสุดท้าย พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดันข้อตกลงนี้ให้สำเร็จ
• ธพ. หลายแห่งในจีนได้รับโควตาใหม่จาก PBOC ในการนำเข้าทองคำใน ส.ค. หลังระงับไป 2 เดือนจากความต้องการทองคำที่ซบเซา โดยจีนคาดความต้องการทองคำจะฟื้น แม้ราคาจะสูงเป็นประวัติการณ์ก็ตาม
• สกุลเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือน หลัง นลท. คลายกังวล ศก. สหรัฐถดถอย และคาดการณ์ Fed จะลด ดบ. ในเดือนหน้า ขณะที่ ศก. ของ ปท. ในเอเชียเริ่มฟื้นตัว
• สศช. รายงาน GDP ไทย 2Q67 โต 2.3% จากการบริโภคภาคเอกชน +4% การบริโภคภาครัฐ +0.3% การส่งออก +1.9% แต่การลงทุนรวมหดตัว 6.2% ทั้งนี้ได้ปรับกรอบ GDP ปีนี้เป็น 2.3-2.8% แต่ยังคงค่ากลางไว้ที่ 2.5%
• ธอส. ระบุธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1H67 ชะลอตัวแรงมากกว่าช่วงสถานการณ์โควิดปี 63-64 เนื่องจากภาวะกำลังซื้ออ่อนแอ ศก. ชะลอตัว ปัญหาหนี้สิน และสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยกู้ โดยยอดการโอนลดลง 9%YoY และมีมูลค่าลดลง 9.4%YoY
• Huawei ระบุจะทำงานร่วมกับ ก. ดิจิทัลฯ เพื่อช่วยผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านคลาวด์ระดับภูมิภาค
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะยังผันผวน ระหว่างรอการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เพื่อทราบถึงนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายการบริหารประเทศ อย่างไรก็ดีประเมินจุดตั้งรับสำหรับการเข้าซื้อจะอยู่ที่บริเวณ 1280 จุด ขณะที่ตัวเลข PMI ส.ค. ของอียูและสหรัฐที่จะประกาศออกมาคาดยังอ่อนแอซึ่งจะส่งผลให้ตลาดมองถึงการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด สอดคล้องกับรายงานการประชุมเฟด ส่วนสัปดาห์นี้การประชุม กนง. คาดมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.5% และตลาดคาด GDP 2Q67 ของไทยจะขยายตัว 2.4%YoY (เราคาด 2.1%) เร่งขึ้นจาก 1Q67 ที่ขยายตัว 1.5% กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
แม้มอง SET จะผันผวนระหว่างรอจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เพื่อทราบถึงนโยบายเศรษฐกิจ แต่ยังคาดหวังตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวจาก Fund Flow ที่เริ่มไหลเข้าสู่ตลาด EM มากขึ้นและสุญญากาศการเมืองที่สั้นลง กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้
1) หุ้นกลุ่ม Earnings Play ซึ่งมีโมเมนตัมกำไรยังดี โดย 3Q67 คาดเติบโต YoY และ QoQ ส่วน 2H67 คาดเติบโต HoH และ YoY อีกทั้ง Valuation ไม่แพง เลือก DELTA GULF TU BTG BDMS TRUE BEM
2) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำและต้องการสร้างกระแสเงินสดในพอร์ต แนะนำหุ้นปันผลสำหรับลงทุนระยะสั้น เลือก BCP (คาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลคิดเป็น Div. Yield 2%) และ TU (ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.31 บ./หุ้น คิดเป็น Div. Yield ราว 2%)
3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG ใหม่ โดยขยายวงเงินเป็น 3 แสนบาทและลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว เลือก ADVANC AOT BDMS BBL CPALL KTB GULF
4) ราคาน้ำมันดิบ Brent ฟื้นตัว จากความไม่สงบในตะวันออกกลางที่รุนแรงมากขึ้น และยังมีการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดง อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันในรัสเซียกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยประเมินกรอบราคา 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
AOT มองราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวหลังปลดล็อก overhang หยุดประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าแล้ว ขณะที่กำไรมีแนวโน้มปรับขึ้นสอดคล้องอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่เติบโต ประเมินกําไรปกติ 4QFY67 (ก.ค.-ก.ย. 67) จะเติบโต YoY และปี FY2567 มีกำไรปกติที่ 1.93 หมื่นลบ. เติบโตเด่น 109%YoY
KTB มองได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้น ศก. ระยะสั้นของรัฐ คาดกำไร 2H67 เพิ่มขึ้น YoY คาดปี 2567 กำไรโต 11% จาก Credit Cost ที่ลดลง สินเชื่อที่เติบโต NIM ที่ดีขึ้น และรายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโต ขณะที่ความเสี่ยงคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ และมี Valuation ถูก PER 67F ที่ 6.2x (-2SD)
ข่าวเด่น