รายงานประชุมเฟด ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในก.ย. ก่อนการประชุม Jackson Hole วันศุกร์นี้ ซึ่งตลาดคาดเฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% จำนวน 3 ครั้ง ในช่วงที่เหลือของปี ทำให้หากเป็นไปตามนี้ มองดัชนีขึ้นสะท้อนแล้ว ดังนั้นให้ระวังแรงขายทำกำไร และคาดดัชนีมี Upside จำกัดที่แนวต้าน 1345-1350 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1325-1330 จุด
ประเด็นสำคัญ
• กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียงคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% เหตุมองเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวตามคาดและสอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจไทย จากแรงส่งภาคท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ แนะจับตาคุณภาพหนี้เอสเอ็มอีและครัวเรือนด้อยลง หวั่นลามกระทบเศรษฐกิจทรุด
• รมช.คลัง เผยถึงกระแสข่าวการปรับเงื่อนไขโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นการแจกเงินสดให้กลุ่มเปราะบางก่อนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่ามีหลายแนวคิด มีโอกาสเปลี่ยนเป็นทุกอย่าง คาดความชัดเจนจะออกมาเร็ว ๆ นี้ เพราะ ครม. ใหม่จะแถลงนโยบายในช่วงต้น ก.ย.
• ธปท.เผยเงินบาทยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่สอดคล้องกับสกุลเงินในตลาดโลกและในภูมิภาค แม้จะมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีแล้วแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ดี สาเหตุการแข็งค่าของเงินบาทมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์เป็นสำคัญ
• สหรัฐปรับลดตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรช่วง เม.ย. 66 - มี.ค. 67 ลงเกือบ 30% หรือปรับลดลง 818,000 ตำแหน่ง จากรายงานก่อนหน้านี้ที่ 2.9 ล้านตำแหน่ง ซึ่งปรับลดมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก ทำให้ตลาดเริ่มกังวล ศก. อาจเผชิญภาวะฮาร์ดแลนดิง
• เฟดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินประจำวันที่ 30-31 ก.ค. โดยระบุว่ากรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นว่าหากข้อมูลที่เฟดได้รับมานั้นยังคงเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ก็เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป (17-18 ก.ย.)
• REIC เผยดัชนีความเชื่อมั่นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกทม.-ปริมณฑล ใน 2Q67 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเพียงเล็กน้อยสู่ 39.6 สะท้อนความต้องการในระดับต่ำและมาตรการกระตุ้นไม่ช่วยให้ฟื้นตัวขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะยังผันผวน ระหว่างรอการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เพื่อทราบถึงนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายการบริหารประเทศ ขณะที่ตัวเลข PMI ส.ค. ของอียูและสหรัฐที่จะประกาศออกมาคาดยังอ่อนแอซึ่งจะส่งผลให้ตลาดมองถึงการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด สอดคล้องกับรายงานการประชุมเฟด ส่วนการประชุม กนง. มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.5% กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
แม้มอง SET จะผันผวนระหว่างรอจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เพื่อทราบถึงนโยบายเศรษฐกิจ แต่ยังคาดหวังตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวจาก Fund Flow ที่เริ่มไหลเข้าสู่ตลาด EM มากขึ้นและสุญญากาศการเมืองที่สั้นลง กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้
1) หุ้นกลุ่ม Earnings Play ซึ่งมีโมเมนตัมกำไรยังดี โดย 3Q67 คาดเติบโต YoY และ QoQ ส่วน 2H67 คาดเติบโต HoH และ YoY อีกทั้ง Valuation ไม่แพง เลือก DELTA GULF TU BTG BDMS TRUE BEM
2) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำและต้องการสร้างกระแสเงินสดในพอร์ต แนะนำหุ้นปันผลสำหรับลงทุนระยะสั้น เลือก BCP (คาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลคิดเป็น Div. Yield 2%) และ TU (ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.31 บ./หุ้น คิดเป็น Div. Yield ราว 2%)
3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG ใหม่ โดยขยายวงเงินเป็น 3 แสนบาทและลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว เลือก ADVANC AOT BDMS BBL CPALL KTB GULF
4) ราคาน้ำมันดิบ Brent ฟื้นตัว จากความไม่สงบในตะวันออกกลางที่รุนแรงมากขึ้น และยังมีการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดง อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันในรัสเซียกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยประเมินกรอบราคา 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
GPSC มองมีปัจจัยบวกระยะสั้นจาก Bond Yield และราคาก๊าซที่ปรับตัวลง ขณะที่ปี 2567 คาดกำไรปกติอยู่ที่ 4.58 พันลบ. เติบโต 33.8%YoY และจะเติบโตต่อเนื่องอีก 16.3%YoY ในปี 2568 ปัจจัยหนุนจากส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นหลังมีกำลังการผลิตติดตั้งที่สูงขึ้นในอินเดียและไต้หวัน
AAV มองน่าจะได้ประโยชน์ในระยะสั้นจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินที่ลดลงทำให้คาด 3Q67 คาดกำไรปกติจะดีขึ้น YoY และ QoQ ขณะที่ปี 2567 คาดจะพลิกมีกำไรปกติที่ 3.0 พันลบ. จากขาดทุนปกติ 206 ลบ. ในปี 2566 และจากนั้นจะกลับสู่ภาวะปกติ โดยจะเติบโต 7%YoY ในปี 2568 มาอยู่ที่ 3.3 พันลบ.
ข่าวเด่น