PRM ประกาศงบไตรมาส 2/67 มีรายได้จากการให้บริการ 2,387.4 ล้านบาท โต 13.9% กำไรสุทธิ 678.6 ล้านบาท โต 36.4% รับแรงหนุนหลักธุรกิจเรือสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (OSV) และการฟื้นตัวของธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (FSU) เปิดข่าวดีครึ่งปีหลัง เตรียมขยายกองเรือ "Crew Boat” และพร้อมให้บริการเรือ “FSO” เพิ่มช่วงปลายปี หนุนผลการดำเนินงานปี 2567 โตแกร่งตามแผน
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 มีกำไรสุทธิ 678.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 497.4 ล้านบาท และรายได้จากการให้บริการ 2,387.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,096.8 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ที่เติบโต มาจากกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและเคมี (PCT) ที่เติบโตจากการเพิ่มเรือขนส่งน้ำมัน และเรือขนส่งเคมีอย่างละ 1 ลำ สามารถสร้างรายได้ 904.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7%
ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ (COC) มีรายได้เพิ่มขึ้นจากอัตราค่าบริการของเรือ Aframax ที่สูงขึ้นตามสภาวะตลาดโลก และจากการกลับมาให้บริการตามปกติของเรือ VLCC 1 ลำ หลังหยุดให้บริการชั่วคราวเพื่อซ่อมบำรุง (Dry Docking) ในไตรมาส 1/2567
ธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (FSU) กลับมาฟื้นตัว โดยสามารถสร้างรายได้ 690.6 ล้านบาท จากสถานการณ์ความตึงเครียดในทะเลแดงที่ส่งผลให้ระยะทางในการเดินเรือสู่ฝั่งตะวันตกไกลและใช้ระยะเวลายาวนานมากขึ้น ประกอบกับความต้องการใช้เชื้อเพลิงที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น Bio-blended LSFO สำหรับการเดินเรือ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อกำหนดของ International Maritime Organization (IMO) หนุนความต้องการกักเก็บและผสมน้ำมันในเรือ FSU
ธุรกิจเรือสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (OSV) เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากการขยายการลงทุนในธุรกิจนี้ ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการสำรวจและผลิตน้ำมันในอ่าวไทย โดยบริษัทฯ เริ่มให้บริการเรือ AWB ลำที่ 2 เมื่อเดือนมกราคม 2567 และให้บริการเรือ Hybrid Crew Boat ที่ได้รับการออกแบบเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิง Fossil และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามนโยบายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของบริษัทฯ จำนวน 2 ลำ ในเดือนมีนาคม และเมษายน 2567
ธุรกิจตัวแทนสายเดินเรือและออกของ (SAS) แนวโน้มเติบโตขึ้นจากการขยายการให้บริการแก่ลูกค้าภายนอกเพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนธุรกรรมการนำเข้าและส่งออกวัตถุดิบและสินค้าของลูกค้ากลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ
ผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,267.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,110.4 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นตามการให้บริการภายใต้สัญญาระยะยาว เพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้ และดำเนินงานตามแผนขยายธุรกิจที่วางไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจเรือสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (OSV) และการฟื้นตัวของธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (FSU) รวมถึงความสามารถในการจัดหาเงินทุนเพื่อรองรับการขยายงานที่มีประสิทธิผล
นายวิริทธิ์พล กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 เติบโตดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อน และดีกว่าไตรมาส 1/2567 เป็นผลมาจากเรือขนาดใหญ่ที่เข้าซ่อมบำรุง จำนวน 3 ลำ ในไตรมาสแรกกลับมาให้บริการได้ตามปกติแล้ว ทำให้รายได้ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 1/2567 ประกอบกับการรับรู้รายได้ของธุรกิจ OSV ที่ให้บริการเรือ AWB ลำที่ 2 เต็มทั้งไตรมาส รวมถึงการให้บริการเรือ "Hybrid Crew Boat” เพิ่มเติมอีก 2 ลำ รวมทั้งธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (FSU) ที่มีสัญญาณการฟื้นตัวจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หนุนความต้องการใช้ และกักเก็บน้ำมันในการเดินเรือ ส่งผลให้อัตราการใช้บริการธุรกิจเรือ FSU ดีขึ้นมากถึง 80%
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมพร้อมให้บริการเรือ FSO ในช่วงปลายไตรมาส 4/2567 เพื่อสนับสนุนการสำรวจและผลิตน้ำมันในอ่าวไทยที่อยู่ในช่วงขยายตัว และยังเตรียมลงทุนต่อเรือ "Crew Boat” เพิ่มเติมอีก 2 ลำ โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568
“ช่วงครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทได้ขับเคลื่อนธุรกิจตามกลยุทธ์ที่วางไว้ และคาดว่าครึ่งปีหลังจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการได้แรงหนุนจากธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (FSU) เข้ามาช่วย จึงมั่นใจภาพรวมธุรกิจปี 2567 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมคาดการณ์ผลการดำเนินงานของ PRM จะเติบโตต่อเนื่องในปี 2568-2569” นายวิริทธิ์พล กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวเด่น