หุ้นทอง
Scoop: ตลาดหลักทรัพย์ฯ โชว์ศักยภาพตลาดทุนไทย ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก


 

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน จัดงาน “Thailand Focus 2024 : Adapting to a Changing World” ครั้งที่ 18 ระหว่าง 28-30 สิงหาคม 2567 นำเสนอความพร้อมและศักยภาพของภาคเอกชน ตลาดทุน และเศรษฐกิจไทย เพื่อหนุนความเชื่อมั่นและดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนสถาบันทั่วโลก โดยมีผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน 112 บริษัท จากทุกกลุ่มอุตสาหกรรมร่วมให้ข้อมูลความแข็งแกร่งธุรกิจและทิศทางการเติบโต
 
ปีที่ผ่านมา นับว่าเป็นปีที่ตลาดทุนไทยเผชิญเข้ากับความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย ความไม่มั่นคงทางการเมือง และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวลง เป็นเหตุให้ในไตรมาส 4 ของปี 2566 เศรษฐกิจไทยโตติดลบ 0.6% จากการหดตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม และจากผลของงบประมาณที่ล่าช้า แต่ในปี 2567 นี้ ทางนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน Thailand Focus 2024 ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากที่ไตรมาส 2 เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.3% ขยายตัว 0.8% จากไตรมาสแรก และจะฟื้นตัวต่อไปในครึ่งหลังของปี โดย ธปท. คาดว่าทั้งปีจะเติบโตอยู่ที่ 2.6%

 
ซึ่งการฟื้นตัวดังกล่าว นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจัยความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่ทำให้เงินทุนไหลเข้าอย่างจำกัด ปัจจุบันมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งในเรื่องของความมั่นคงทางการเมืองที่เริ่มอยู่ตัว ภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และบริษัทจดทะเบียนไทยมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น เป็นปัจจัยหลักที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) มีโอกาสฟื้นตัว และกลับมามีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นในกลุ่มนักลงทุน สังเกตได้จากกระแสเงินลงทุนต่างชาติเริ่มมีการไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง โดยเฉพาะในปีนี้ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯประเมินว่า เป็นครั้งสำคัญ เนื่องจากปัจจัยในประเทศความไม่แน่นอน “น้อยที่สุด” ทำให้มองว่าตลาดหุ้นไทยจะมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น 

สะท้อนให้เห็นจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2567 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) มียอดขาย 8,964,883 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้ บจ. มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 519,312 ล้านบาท เติบโต 9.7% คิดเป็นกำไรบริษัทจดทะเบียนที่สูงที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19  ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก ตามการเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) ซึ่งโดยปกติกำไรบริษัทจดทะเบียนมักจะโตได้สูงกว่าตัวเลข GDP ไทยในระดับ 2-3 เท่า และคาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จะดีกว่าครึ่งปีแรก หรือเติบโตได้กว่า 3% ขึ้นไป จากช่วงไตรมาส 1/2567 และไตรมาส 2/25567 ที่ตัวเลข GDP ไทยเติบโตในระดับ 1.5% และ 2.3% (ตามลำดับ)

 
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตหลักคือ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับภาคบริการและการท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจสุขภาพ และธุรกิจน้ำมัน เป็นตัวหนุนให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีกำไรดีขึ้น นอกจากนี้ ตลาดทุนไทยเริ่มมีผลิตภัณฑ์ด้านการเงินการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก เห็นได้จากการที่มีบริษัทมากกว่า 160 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นบริษัทที่ลงทุนในเศรษฐกิจใหม่ ทั้งขนาดใหญ่ กลาง และสตาร์ตอัพ อีกทั้งยังมีถึง 14 บริษัทได้รับการจัดระดับให้อยู่ในระดับ Gold Class S&P Global 2024 Sustainability Yearbook

“เพราะฉะนั้น ในการจัดงาน Thailand Focus 2024 ครั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีโอกาสได้ให้ข้อมูลแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ แสดงถึงศักยภาพของตลาดทุนไทย และดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่ตอนนี้เริ่มมีสัญญาาณดีขึ้นแล้ว ให้กลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น” นายภากร กล่าว

ด้าน Mr. Lyndon Chao, Managing Director, Head of Equities and Post Trade สมาคมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดการเงินเอเชีย กล่าวในงานว่า ตลาดทุนไทยมีความสามารถในการปรับตัว แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และมีการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทาน แต่อย่างไรก็ดี ตลาดทุนไทยมีการปรับตัวที่ดีขึ้นในปีนี้ เป็นตลาดที่มีสภาพคล่อง โดยมีส่วนแบ่งในตลาดทุนอาเซียนถึง 37% และยังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นในช่วงสิ้นปี นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีจำนวน บจ. ที่ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืนได้อย่างดีมากที่สุดของโลกอีกด้วย ฉะนั้น หากบริษัทต่าง ๆ สามารถสร้างธรรมาภิบาลให้มากขึ้น รวมถึงการมีโครงการปฏิรูปเงินบำนาญที่เหมาะสมอันสามารถดึงดูดให้ประชาชนลงทุนมากขึ้น (เพราะมีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย และมีแรงจูงใจทางภาษี) จะทำให้เกิดความเชื่อใจของผู้ลงทุนมากขึ้น


 
อย่างไรก็ดี อัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (Price to Earning Ratio) ของตลาดทุนไทยครอบคลุมหลายอุตสาหกรรมในปีที่ผ่านมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี จึงจำเป็นที่จะต้องเสริมสร้างให้ตลาดทุนไทยเติบโตมากขึ้น โดยความมั่นคงของรัฐบาลและนโยบายการลงทุนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนตลาดทุนไทย ซึ่ง ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า  เป้าหมายของ ก.ล.ต. คือทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ด้วยการดำเนินการที่โปร่งใสและยุติธรรม อย่างการป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่มีโอกาสเกิดขึ้นในตลาดทุน เช่น เพิ่มการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการป้องกัน เช่นระบบวิเคราะห์เพื่อความผิดปกติ การใช้ Investment Token ระบบ KYC รวมถึงผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยจะร่วมมือกับทางตลาดหลักทรัพย์ฯ และหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนอื่น ๆ เพื่อสร้างมาตรฐานและความเรียบร้อยในตลาดทุน นอกจากนี้พันธกิจอีกหนึ่งสิ่งของสำนักงาน ก.ล.ต. คือ การสร้างการลงทุนระยะยาวเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนคนไทย โดยจะสนับสนุนกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ที่ปรับเกณฑ์ใหม่เพิ่มการลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 3 แสนบาท และปรับระยะเวลาถือครองลดลงเหลือ 5 ปี เพื่อดึงดูดให้ประชาชนลงทุนมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของการลงทุนจากต่างชาติในอีกทางหนึ่ง

ด้วยการเติบโตตัวเลขเศรษฐกิจไทย หรือ GDP การมีมาตรการกำกับดูแลต่าง ๆ ข้างต้น ผลประกอบการของบจ. ที่จะเติบโตดีขึ้นชัดเจน จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความเชื่อมั่นในสายตาของนักลงทุนมากขึ้น ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จะร่วมผลักดันให้ตลาดทุนไทยมีขนาดใหญ่และมีความเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อขยายฐานการลงทุนของต่างชาติมายังไทย อันสามารถกระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่และการปรับเปลี่ยนในโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

LastUpdate 29/08/2567 11:11:47 โดย : Admin
23-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 23, 2024, 11:33 am