9 ก.ย. 67 - บลจ.ทิสโก้เสนอขายกองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส เฮลธ์แคร์ ชูจุดเด่นกระจายการลงทุนในหลากธุรกิจเฮลธ์แคร์ระดับโลกที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พร้อมเปิดสถิติหลังเลือกตั้งราคาหุ้นเฮลธ์แคร์มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ ขณะที่ในระยะยาวผลประกอบการมีโอกาสเติบโตสูงจากสังคมสูงวัยและมักจะไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan Managing Director of TISCOASSET) เปิดเผยว่า จากกระแสสังคมสูงอายุที่เกิดขึ้นทั่วโลกทำให้นักลงทุนสนใจลงทุนในหุ้นเฮลธ์แคร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน บลจ.ทิสโก้มีกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเฮลธ์แคร์ต่างประเทศแล้ว 4 กองทุน และเพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้ลูกค้า ล่าสุด บลจ.ทิสโก้ได้เปิดเสนอขายกองทุนหุ้นเฮลธ์แคร์เพิ่มอีก 1 กองทุนคือ กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส เฮลธ์แคร์ ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป (TUSHEALTH – A) และชนิดหน่วยลงทุนเพื่อการออม (TUSHEALTH – SSF) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนใน The Health Care Select Sector SPDR (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทในหมวดอุตสาหกรรม Health Care ที่อยู่ในดัชนี S&P 500 เปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 9 - 17 กันยายน 2567
สำหรับจุดเด่นของกองทุน TUSHEALTH คือ กระจายการลงทุนในหลากหลายธุรกิจเฮลธ์แคร์ ซึ่งล้วนแต่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งธุรกิจ Pharma, Biotechnology, Life Science, Provider&Service และEquipmen& Supplies ซึ่งช่วยให้พอร์ตการลงทุนไม่ผันผวนมากนักเมื่อเทียบกับการลงทุนกระจุกตัวในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง และข้อมูลจาก บลูมเบิร์กพบว่าแม้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจกำไรหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจขณะที่ราคาหุ้นก็ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนี S&P500 ในช่วงที่ตลาดย่อตัวลง เช่น วิกฤตหุ้นเทคโนโลยี หรือ วิกฤต “Dot-Com” วิกฤตซับไพรม์ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และวิกฤติสงครามยูเครนรัสเซีย เป็นต้น
นอกจากนี้ จังหวะการลงทุนในช่วงนี้ก็น่าสนใจโดยข้อมูลจาก Blackrock พบว่านับตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปี 2563 หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ 12 เดือน หุ้นเฮลธ์แคร์สหรัฐฯ สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 18.2% ขณะที่ช่วงเวลาเดียวกันดัชนี MCSI World ให้ผลตอบแทน 15.9% ด้านหุ้นที่กองทุนหลักเข้าลงทุนล้วนแต่เป็นหุ้นเฮลธ์แคร์ขนาดใหญ่ที่มีผลิตภัณฑ์และบริการเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค เช่น บริษัท Eli Lilly ผลิตภัณฑ์ขายดี เช่น ยาปากกาลดความอ้วน อัตราการเติบโตของกำไรในช่วง 10 ปีอยู่ที่ 25.86% ต่อปี บริษัท Merck ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง เช่น Molnupiravir ยารักษาโรค COVID –19 อัตราการเติบโตของกำไรในช่วง 10 ปีอยู่ที่ 19.44% ต่อปี บริษัท Johnson & Johnson ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ Tylenol อัตราการเติบโตของกำไรในช่วง 10 ปีอยู่ที่ 5.36% ต่อปี เป็นต้น
พิเศษ สำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ลงทุนกองทุน TUSHEALTH ตั้งแต่วันที่ 9-17 กันยายน 2567 ยอดเงินลงทุนรวม 50,000 บาทขึ้นไป รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ ชนิดหน่วยลงทุน A (TSF-A) มูลค่า 100 บาท (1 ท่านต่อ 1 สิทธิ)
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนกองทุนรวม SSF ก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขกองทุน กองทุนอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งกองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และ www.tiscoasset.com หรือ แอปพลิเคชัน TISCO My Funds??
ข่าวเด่น