คาดดัชนียังมี upside จำกัด โดยมองกรอบบนถูกจำกัดบริเวณแนวต้าน 1465-1470 จุด เนื่องจากแรงส่งของหุ้นขนาดใหญ่ต่างๆ ลดน้อยลง จากภาวะ overbought และเงินบาทที่แข็งค่าแรงและเร็ว สร้างความกังวลต่อภาคการส่งออก ด้านแนวรับอยู่ที่บริเวณ 1450 และ 1440 จุด ตามลำดับ หากต่ำกว่า เริ่มเป็นสัญญาณลบ
ประเด็นสำคัญ
• ธนาคารกลางจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ : ลดดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 7 วัน, ลดอัตราเงินสำรองขั้นต่ำของธพ., ลดเงินดาวน์ซื้อบ้านหลังที่สอง และจัดสรรเงินกู้ระยะยาว 1 ล้านล้านหยวน
• ราชกิจจาฯ เผยแพร่ระเบียบเกณฑ์ประมูลรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟสสองระยะแรกรวม 2,180MW และอนุญาตให้ผู้ที่เคยเข้าร่วมในรอบก่อนแต่ไม่ถูกรับเลือกสามารถเข้าร่วมโดยไม่ต้องแก้ไขคำเสนอไฟฟ้าได้
• ส.อ.ท. เผยยอดส่งออกรถยนต์ ส.ค. ลดลง 1.7%YoY สู่ 86,066 คัน ส่วนการผลิตลดลง 20.56%YoY สู่ 119,680 คัน โดยทั้งการส่งออกและผลิตลดลงต่ำกว่าช่วงโควิด-19 และใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง
• ส.อ.ท. เผยยอดขายรถยนต์ ส.ค. อยู่ที่ 45,190 คัน ลดลง 24.98%YoY จากปัญหา NPL และคาด 3Q67 NPL สินเชื่อรถยนต์จะรุนแรงขึ้นส่งผลให้สถาบันการเงินเข้มงวดและไม่อนุมัติสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ต่อเนื่อง
• รมว.คลัง นัดหารือผู้ว่าธปท. ในสัปดาห์หน้าถกเงินเฟ้อและค่าเงินบาทแข็งค่า ธปท. พร้อมทบทวนนโยบายหากมีข้อมูลใหม่อย่างมีนัยยะสำคัญ
• สถาบันวิจัยเศรษฐกิจสหรัฐฯ (Conference Board) เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.ย. ปรับลงสู่ 98.7 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ ท่ามกลางความกังวลต่อเงินเฟ้อ ตลาดแรงงาน และแนวโน้มรายได้ในอนาคต
• ก.ล.ต. กำลังศึกษาออกเกณฑ์ใหม่ให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้งที่เป็นผู้บริหารและไม่เป็นผู้บริหารเปิดเผยรายงานกรณีการนำหุ้นของบริษัทไปวางเป็นหลักประกันการกู้ยืม คาดออกหลักเกณฑ์และบังคับใช้ได้ภายในปี 2568
• นักลงทุนกำลังจับตาเฮอร์ริเคนลูกใหม่ที่กำลังก่อตัวในอ่าวเม็กซิโก ขณะที่บริษัทน้ำมันเริ่มอพยพคนงานออกจากแท่นขุดในบริเวณดังกล่าว
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway Up และเริ่มมี Upside จำกัด แรงหนุนจะมาจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง บวกกับ ความคาดหวังการออกนโยบายผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาทระยะสั้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับภูมิภาค สะท้อนได้จาก Fund Flow ในเดือนก.ย. ที่ต่างชาติพลิกซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 3 หมื่นลบ. อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะจีน ยังมีแนวโน้มอ่อนแอ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET จะเคลื่อนไหว Sideway Up แต่เริ่มมี Upside จำกัดในช่วงสั้น ทั้งนี้คาดเม็ดเงินลงทุนไหลจะเข้าในกลุ่ม Defensive และหุ้นที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้
1. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งเทคนิคมีสัญญาณกลับตัว และ Valuation ยังไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER และ PBV ต่ำกว่า -1SD แนะนำ AOT CRC AWC BCH BEM
2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์น้ำท่วม แนะนำ HMPRO GLOBAL CPALL BJC DCC และ TASCO ซึ่งสถิติปี 2553-2566 (เฉพาะปีที่เกิดน้ำท่วมในภาวะ La Nina ยกเว้นปี 2563 ซึ่งเผชิญวิกฤต COVID-19) พบว่าหากซื้อลงทุนช่วงครึ่งหลัง ก.ย. และขายต้น พ.ย. คาดหวังจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 5.0%
3. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรจากอานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง กลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) อสังหาฯ (AP) ค้าปลีก (CPALL) โรงไฟฟ้า (GULF) REITS (LHHOTEL DIF)
4. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ โดยเลือกหุ้น SET100 ที่มีคุณสมบัติ 1) จ่ายเงินปันผลดี โดยให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% 2) มี ESG Ratings สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB BBL BCP ADVANC HMPRO
DAILY TOP PICKS
AOT: มองเป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้อานิสงส์จากแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยเพิ่มเติม และราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวหลังปลดล็อก overhang หยุดประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าไปแล้ว ขณะที่กำไรยังมีแนวโน้มปรับขึ้นสอดคล้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่เติบโต โดยประเมินกําไรปกติ 4QFY67 (ก.ค.-ก.ย. 67) จะเติบโต YoY และปี FY2567 มีกำไรปกติโตเด่น 109%YoY
BCP: ช่วงสั้นมองได้ Sentiment บวกจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นหลังจีนประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่และเกิดสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ขณะที่ 3Q67 คาดกำไรจะดีขึ้นจากค่าการกลั่นที่แข็งแกร่งขึ้นและราคาน้ำมันที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ส่วน Valuation ไม่แพง โดยมี PER 67F < 4 เท่า และ PBV 67F ที่ 0.6 เท่า (-1.5SD)
ข่าวเด่น