บทสรุป
จีนประกาศมาตรการสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น ซึ่งนับเป็นการผ่อนคลายนโยบายที่สอดประสานกันครั้งสำคัญหนแรกในรอบหลายปี ตลาดหุ้นจีนจึงมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากสภาพคล่องและความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนแม้ว่าปัจจัยพื้นฐานจะต้องดีขึ้นอย่างชัดเจนเพื่อรักษาแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางไว้ก็ตาม ในขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนยังคงมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากธนาคารกลางจีน (PBoC) ยังคงเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2024 ธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้จัดแถลงข่าวประกาศชุดมาตรการผ่อนคลายนโยบายซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ถึงแม้นักวิเคราะห์จะชี้ว่ามาตรการดังกล่าวยังไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวง แต่สิ่งสำคัญก็คือนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่จีนได้มีการผ่อนคลายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแบบประสานกันในหลายด้าน มาตรการเหล่านี้มีศักยภาพในการปลดล็อกสภาพคล่องที่มีมูลค่าหลายล้านล้านซึ่งครอบคลุมหลายมิติ ดังนี้:
การเงิน
• ลดอัตราดอกเบี้ย Repo ระยะ 7 วันลง 20 bps
• ลดอัตราส่วนการกันสำรอง (RRR) 50 bps โดยมีความยืดหยุ่นในการลดเพิ่มได้อีก 25-50 bps ก่อนสิ้นปี
การเสริมความแข็งแกร่งของภาคธนาคาร
• เพิ่มทุนในส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่ง (core tier-one capital) ของ 6 ธนาคารรัฐขนาดใหญ่ของจีน
การรักษาเสถียรภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์
• ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย 50 bps
• ลดเงินดาวน์สำหรับการซื้อบ้านหลังที่สองลงจาก 25% เหลือ 15% ให้สอดคล้องกับการซื้อบ้านหลังแรก
การสนับสนุนตลาดหุ้น
การจัดตั้งวงเงินสว็อปหุ้น (พร้อมมาตรการซื้อคืน) มูลค่า 500 พันล้านหยวน ซึ่งจะช่วยให้โบรกเกอร์ บริษัทประกัน และกองทุนรวม สามารถกู้ยืมเงินได้โดยตรงจากธนาคารกลางจีน (PBoC) โดยมีศักยภาพที่จะเพิ่มสภาพคล่องได้อีกสองรอบหากจำเป็น ซึ่งจะทำให้วงเงินของมาตรการสนับสนุนโดยรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านหยวน
ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นหลังการประกาศมาตรการดังกล่าว โดยดัชนี CSI 300 และ Hang Seng ปรับตัวขึ้น 4.6% และ 4.1% ตามลำดับ ขณะที่ Hang Seng China Enterprise Index (H-share) ทำผลงานได้โดดเด่น โดยเพิ่มขึ้น 5.1% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนรุ่นอายุ 10 ปีลดลงสู่ระดับ 2% เป็นครั้งแรก
ผลกระทบต่อการลงทุน
วัฏจักรการลดดอกเบี้ยที่นำโดยสหรัฐได้เปิดโอกาสให้จีนใช้นโยบายที่มุ่งผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากเศรษฐกิจจีนเติบโตค่อนข้างช้านับตั้งแต่ต้นปี ในขณะเดียวกันก็ยังใกล้ถึงวันครบรอบ 75 ปีวันสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
เมื่อพิจารณาถึงลักษณะของบางมาตรการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน Eileen Ma ผู้จัดการพอร์ตการลงทุน Multi Asset Portfolio Solutions (MAPS) อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (สิงคโปร์) เชื่อว่าตลาดหุ้นจีนยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกในระยะสั้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสภาพคล่องและความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานจะต้องดีขึ้นอย่างชัดเจนเพื่อรักษาแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางถึงระยะยาวไว้ ทีมงาน MAPS จะยังติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับช่องทางการส่งผ่านเงินทุนของธนาคารกลางจีน (PBoC) การประกาศใช้นโยบายการคลังที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงเฝ้าติดตามสัญญาณที่ดีขึ้นของตัวเลขเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการเลือกตั้งในสหรัฐซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าด้วย
มุมมองต่อตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของจีน มีดังนี้ :
หุ้น China A : จับตามาตรการผ่อนคลายทางการคลังเพิ่มเติม
ในไตรมาสที่ผ่านมา ตลาดผิดหวังมากขึ้นต่อหน่วยงานที่กำหนดนโยบายเนื่องจากเศรษฐกิจจีนยังมีโมเมนตัมที่อ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง และไม่มีการนำมาตรการที่มีประสิทธิภาพมาใช้
ดังนั้น ในมุมมองของ Jingjing Weng หัวหน้าฝ่ายวิจัยตลาดหุ้น China A อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (เซี่ยงไฮ้) ไม่ได้แปลกใจที่การประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะส่งผลให้ตลาดหุ้น A-share และ H-share พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
Jingjing ระบุว่าประเด็นสำคัญในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ แนวทางนโยบายที่มีความชัดเจนและเป็นบวกของธนาคารกลางจีน (เป็นครั้งแรก) ซึ่งสามารถปรับลด RRR ได้อีก 25 ถึง 50 bps ภายในสิ้นปีนี้ และที่น่าสังเกตก็คือนับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลกลางสนับสนุนให้สถาบันการเงินใช้กองทุนประเภท leveraged funds ในการซื้อหุ้น A-shares สิ่งที่สำคัญที่สุดคือธนาคารกลางจีนยังคงแสดงท่าทีสนับสนุนการใช้นโยบายการคลังเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางอาจหยุดแทรกแซงตลาดพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวเหมือนที่เคยทำในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อพยายามจัดการกับการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาพันธบัตร ความพยายามดังกล่าวจึงปูทางไปสู่การผ่อนคลายทางการคลังเพิ่มเติมซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดเฝ้ารอมานาน
แม้ว่า Jingjing จะเชื่อว่าการปรับตัวขึ้นล่าสุดของตลาดได้สะท้อนถึงความต้องการเปิดรับความเสี่ยงของผู้ลงทุนที่เพิ่มขึ้นและแนวโน้มนโยบายที่ดีขึ้น แต่การที่ตลาดจะไปต่อได้ในฝั่งขาขึ้นจะต้องเกิดจาก 1) การผ่อนคลายนโยบายการคลังมากขึ้น 2) ความชัดเจนมากขึ้นสำหรับการสนับสนุนด้านเงินทุนแก่บริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และ 3) ข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีขึ้น Jingjing ค่อนข้างเชื่อว่าการใช้จ่ายทางการคลังที่มากขึ้นหรือการขาดดุลทางการคลังที่สูงขึ้นเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่เราจะมองเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหรือปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้นภายในเศรษฐกิจจีน
หุ้น China H : “National Team” เตรียมซื้อหุ้นล่วงหน้า
ตามความเห็นของ Jocelyn Wu ผู้จัดการพอร์ตการลงทุน หุ้น Greater China อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (ฮ่องกง) คาดว่า National Team2 (NT) จะดำเนินการตามแผนในเดือนมกราคม และซื้อหุ้นล่วงหน้าด้วยขนาดถึงเกือบ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ซึ่งหากดูข้อมูล ณ เวลาที่จัดทำบทความนี้ พบว่าเม็ดเงินไหลเข้ากองทุนประเภท Exchange Traded Funds (ETFs) ที่เป็นเป้าหมายของ NT ได้แตะระดับที่เทียบได้กับในช่วงที่มีการแทรกแซงในเดือนกรกฎาคม นั่นคืออาจมีเม็ดเงินไหลเข้าประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน แม้ว่ากระแสเงินไหลเข้าเหล่านี้จะไม่มากเท่าในเดือนมกราคม แต่ก็มากพอที่จะส่งสัญญาณเชิงบวกให้กับตลาดได้อย่างชัดเจน
Jocelyn จึงเชื่อว่าตลาดหุ้น H-share น่าจะเพิ่มขึ้นต่อไปได้ในระยะใกล้นี้ เนื่องจากมูลค่าที่น่าดึงดูดและความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลของการประกาศใช้นโยบายที่ออกมาดีเกินคาด
ทีมงานหุ้น Greater China เชื่อว่าหุ้นที่เน้นการเติบโตมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการปรับตัวดีขึ้นของความเชื่อมั่นผู้ลงทุน ทีมงานได้เห็นโอกาสที่น่าสนใจในหุ้นกลุ่มอีคอมเมิร์ซที่ซื้อขายในราคาต่ำเนื่องจากการขาดความสนใจจากผู้ลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยลดลงก็ทำให้ธนาคารบางแห่งในจีนอาจดูน่าสนใจด้วยเช่นกัน และหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคที่ถูกเทขายจนราคาร่วงลงตกต่ำก็ยังอาจได้รับประโยชน์จากนโยบายที่เกิดขึ้นตามมาซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภค
พันธบัตรรัฐบาลจีน : อัตราผลตอบแทนอาจลดลงต่อเนื่อง
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนลดลง (ราคาพันธบัตรเพิ่มขึ้น) ในระยะแรกหลังจากมีข่าวเกี่ยวกับมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนพันธบัตรเริ่มมีความกังวลมากขึ้นในเวลาต่อมา เมื่อมีการคาดการณ์ในตลาดว่าอาจมีการประกาศมาตรการทางการคลังเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้
แม้ว่าความสมดุลของความเสี่ยงจะเปลี่ยนไป แต่ Matthew Kok ผู้จัดการพอร์ตการลงทุน ตราสารหนี้เอเชีย อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (สิงคโปร์) เชื่อว่าอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้จีนอาจลดลงอีก ธนาคารกลางจีนได้ส่งสัญญาณทางอ้อมว่าการปรับนโยบายนั้นได้รับอิทธิพลจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และค่าเงินหยวน ซึ่งการที่เฟดเตรียมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ทางธนาคารกลางจีนจึงมี
ทางเลือกที่เหลืออยู่มากขึ้นในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อตราสารหนี้
แม้ว่าอาจมีการสลับเปลี่ยนโยกย้ายเงินทุนออกจากตราสารหนี้ไปยังหุ้นบ้าง แต่สภาพคล่องโดยรวมที่เพิ่มขึ้นก็อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนลดลงได้เช่นกัน ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ลงทุนมีแนวโน้มที่จะมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศได้ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจนำไปสู่ความต้องการในผลิตภัณฑ์ด้าน wealth management อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความต้องการพันธบัตรรัฐบาลจีนจากบรรดาธนาคารต่าง ๆ ก็น่าจะยังคงอยู่เหมือนเดิมจนกว่าการเติบโตของสินเชื่อจะไล่ตามทันสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่ากระบวนการดังกล่าวน่าจะใช้เวลาอีกสักระยะ
แม้ว่ามาตรการผ่อนคลายจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่ Matthew มองว่ามาตรการสนับสนุนทางการคลังขนานใหญ่อาจไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากจีนยังคงมุ่งเน้นที่การลดภาระหนี้ในระบบเศรษฐกิจ มาตรการสนับสนุนการเติบโตน่าจะมุ่งเป้าไปยังการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ มากกว่าที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของบางภาคส่วนเท่านั้นอย่างเช่นภาคอสังหาริมทรัพย์ ในขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินในหลายๆ ส่วนของภาคการผลิต ตลอดจนราคาปัจจัยการผลิตและผลผลิตที่ลดลง อัตราเงินเฟ้อของจีนก็น่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกสักระยะ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้ในอีกทางหนึ่ง การที่เส้นอัตราผลตอบแทนมีแนวโน้มชันขึ้นเนื่องจากการผ่อนคลายนโยบายของธนาคารกลางจีน ทีมตราสารหนี้เอเชียจึงค่อนข้างสนใจอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรุ่นอายุ 5-7 ปีมากกว่ารุ่นอายุอื่น ๆ
ข่าวเด่น