
มอง SET ยังอยู่ในช่วงพักตัว และตลาดที่ขาดปัจจัยหนุนใหม่ ทำให้ดัชนีมี upside จำกัด โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1460 และ 1470 จุด ตามลำดับ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีนที่ปิดทำการในช่วง Golden Week ทำให้มูลค่าซื้อขายลดลง และตลาดรอดูตัวเลขการจับจ่ายใช้สอยหลังเทศกาล ทั้งนี้ ยังต้องระวังด้าน downside ของดัชนีอยู่ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1440 และ 1435 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
• สถานการณ์ในตะวันออกกลางตึงเครียดต่อเนื่อง ล่าสุดอิสราเอลได้แจ้งต่อสหรัฐฯ ว่าจะเริ่มปฏิบัติการภาคพื้นดินอย่างจำกัดต่อโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ตามแนวชายแดนของเลบานอนในไม่ช้า
• ประธานเฟดเผยเฟดมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย 25bps จำนวน 2 ครั้ง รวมเป็น 50bps ภายในสิ้นปีนี้ หากเศรษฐกิจมีพัฒนาการตามคาดและเฟดจะไม่รีบร้อนดำเนินการ หลังมีข้อมูลใหม่ซึ่งทำให้เฟดเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภคมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
• เกาหลีใต้เผยสต๊อกชิปคงคลังเดือนส.ค. ลดลง 42.6%YoY ซึ่งปรับตัวลดลงเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 ขณะที่การผลิตและการจัดส่งขยายตัวขึ้น 10.3% และ 16.1% สะท้อนชิปที่ใช้ใน AI ยังคงเป็นที่ต้องการ
• ธปท. รับเข้าดูแลเงินบาทหลังแข็งค่าเร็วและผันผวนแรงเทียบกับประเทศในภูมิภาคเพื่อลดผลกระทบ ดันทุนสำรองระหว่างประเทศสูงขึ้น ด้านเศรษฐกิจเดือนส.ค. ทรงตัว ขณะที่เศรษฐกิจข้างหน้าคาดฟื้นตัวได้ต่อจากแรงส่งท่องเที่ยว ด้านเอกชนรับห่วงสถานการณ์บาทแข็งหนัก
• Google ประกาศแผนลงทุนในไทย 3.6 หมื่นลบ. ภายในปี 2572 สร้างงาน 14,000 ตำแหน่ง เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1.4 แสนลบ. พร้อมผลักดัน Data Center แห่งแรกในไทย เชื่อไทยเป็นศูนย์กลางที่รุ่งเรือง
• สมาคมค้าปลีกไทยประเมินดิจิทัลวอลเล็ตกลุ่มเปราะบางจะใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเน้นการซื้อสินค้าผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีก ในสัดส่วน 10-20% หรือคิดเป็น 1.4-2 หมื่นลบ.
• ททท. คาดช่วงวันหยุดในวันชาติจีน (1-7 ต.ค.) ชาวจีนจะเดินทางมาเที่ยวไทยราว 1.32-1.83 แสนคน เพิ่มขึ้น 57-144%YoY และสร้างรายได้ 3,710-5,180 ลบ. เพิ่มขึ้น 85% ของช่วงปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะยังแกว่งตัว Sideway Up แต่อาจเผชิญแรงขายทำกำไรระยะสั้นเป็นระยะๆ จากปัจจัยภายนอกและจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้มองว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับแรงหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยที่จะกลับเข้าสู่ขาลง (คลังและธปท. จะมีการพูดคุยกันในสัปดาห์นี้) และนโยบายผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาทคาดจะยังหนุนการไหลเข้าของ Fund Flow โดยประเมินว่าหาก SET จะปรับขึ้นได้แรง ต้องเกิดจากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร อสังหาฯ อิเล็กทรอนิกส์ และท่องเที่ยว ขณะที่หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีก่อนหน้านี้คาดจะยังให้ผลตอบแทนดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการของจีนและสหรัฐคาดจะยังชะลอตัวลง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET จะยังแกว่งตัว sideway up แต่อาจเผชิญแรงขายทำกำไรระยะสั้นเป็นระยะๆ จากปัจจัยภายนอกและจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ โดยเลือกหุ้น SET100 ที่มีคุณสมบัติ 1) จ่ายเงินปันผลดี โดยให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% 2) มี ESG Ratings สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB BBL BCP ADVANC HMPRO
2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งคาดได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI) กลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF) กลุ่ม REITs (LHHOTEL DIF)
3. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์น้ำท่วม แนะนำ HMPRO GLOBAL CPALL BJC DCC และ TASCO ซึ่งจากสถิติปีที่เกิด La Nina หากลงทุนช่วงครึ่งหลัง ก.ย. และขายต้น พ.ย. คาดหวังจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 5.0%
ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทอย่างรุนแรงใน 3Q67 มองจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นที่มีรายได้จากการส่งออก แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนช่วงสั้น ได้แก่ TU GFPT CBG KCE ส่วนนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทแข็งค่า แนะนำ AAV GULF GPSC BCP
DAILY TOP PICKS
AOT: 4QFY67 คาดกำไรปกติ 4.1 พันลบ. เพิ่มขึ้น 14%YoY (จากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น) แต่ลดลง 10%QoQ (จากรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ลดลง) และโมเมนตัมกำไรจะแข็งแกร่งขึ้น YoY และ QoQ ใน 1QFY68 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย และยังมีปัจจัยบวกหนุนจากช่วง Golden Week ของจีน
BBL: เป็นหุ้นเด่นกลุ่มธนาคาร เนื่องจาก valuation ในแง่ PBV/ROE น่าสนใจที่สุด และความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ ขณะที่ 3Q67 คาดกำไรปกติจะเติบโต 5%YoY และ 1%QoQ แรงหนุนจากการตั้งสำรอง (credit cost) ที่ลดลง รวมทั้งสินเชื่อและ non-NII (กำไรจากเครื่องมือทางการเงิน) ยังมีการเติบโต
ข่าวเด่น