เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ttb analytics ห่วงผู้ประกอบการไทยเกือบ 70% พึ่งพาตลาดต่างประเทศสูง เสี่ยงเจอดิสรัปชันด้านการค้ารุนแรง


ที่ผ่านมาภาคส่งออกไทยอาจได้อานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจากการส่งออกไปสหรัฐฯ มากขึ้น แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากนัก จากตัวเลขส่งออกไทยไปตลาดสหรัฐฯ เติบโตเฉลี่ยถึง 11.2% ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับส่งออกไปตลาดอื่น ๆ ที่เติบโตได้เพียง 2.1% ทำให้ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึงเกือบเท่าตัว จาก 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างปี 2558-2560 เป็น 8.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564-2566 แต่ทว่า ไทยกลับไม่สามารถชดเชยการขาดดุลการค้ากับจีนที่มากขึ้นได้เท่าใดนัก เนื่องจากสินค้าไทยที่ส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ได้มากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนเส้นทางการส่งออกของผู้ผลิตจีนเพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่านส่งออกไปสหรัฐฯ (Trade Diversion) ซึ่งอาจไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก สะท้อนจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม  ที่ยังคงหดตัวต่อเนื่องถึง 7 ไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565 ขณะเดียวกัน ไทยกลับต้องเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นจากมาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ((Anti-dumping : AD) และมาตรการตอบโต้การอุดหนุน ((Countervailing Duty : CVD) จากสหรัฐฯ เพิ่มเติม เช่น แผงโซลาร์ เหล็กและอะลูมิเนียม ยางล้อ เป็นต้น

ทั้งนี้  ไทยค่อนข้างเสียเปรียบการแข่งขันด้านราคาอยู่แล้ว จากผลของการทำข้อตกลงทางการค้ากับคู่ค้าหลักของประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้อัตราภาษีศุลกากรของไทยในทุกประเภทสินค้าเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก (Trade-Weighted Tariff) สูงถึง 3.49%-7.12% เมื่อเทียบกับเวียดนาม 2.74-5.85% และมาเลเซีย 1.89-4.67% ยิ่งกว่านั้น มาตรการด้านการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันที่มีความเข้มข้นขึ้นถึงเกือบ 6 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปทำตลาดอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการที่มิใช่ภาษีศุลกากร(Non-tariff Measure: NTM) มาตรการทางเทคนิค (Technical Barrier to Trade : TBT) ที่เกี่ยวข้องกับด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ด้านสุขอนามัย ด้านสิทธิมนุษยชน ตลอดจนมาตรการเฉพาะกับสินค้าบางประเภท เช่น กฎหมายปราศจากการทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EU Deforestation Regulation : EUDR) มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชของสินค้าเกษตรของจีน (Sanitary and Phytosanitary Measures : SPS) เป็นต้น ซึ่งปัจจุบัน มาตรการ NTM ที่บังคับใช้กับสินค้าส่งออกไทยครอบคลุมราว 11.4% ของมูลค่าสินค้าส่งออก โดยเฉพาะสินค้าจำพวกอาหารที่ไทยมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่บังคับใช้มาตรการครอบคลุมถึง 28.2% ของมูลค่าสินค้าส่งออกในหมวดอาหาร หรือมากถึง 205 ผลิตภัณฑ์ 

ttb analytics มองว่า ท่ามกลางความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลกที่ลดลงในทุกมิติ รวมถึงมาตรการด้านทางการค้าระหว่างประเทศที่เข้มข้นขึ้น ประกอบกับการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่คาดว่าจะยังคงอยู่ต่อไปในภาวะที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ล้วนจะยิ่งส่งผลกระทบลามไปถึงความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้ย่ำแย่ลง โดย ttb analytics ได้วิเคราะห์ความเสี่ยง (Exposure) ของผู้ประกอบการในแต่ละอุตสาหกรรมตามระดับการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ โดยพิจารณาจากสัดส่วนการส่งออกรวมและสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจากจีนเทียบยอดขายรวม ซึ่งจะสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้

กลุ่มที่ 1 พึ่งพาส่งออกสูงและนำเข้าจากจีนสูง (Exposure สูง) คิดเป็น 16% ของผู้ประกอบการไทยทั้งหมด จากสัดส่วนรายได้จากการส่งออกและสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจากจีนสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ รวมถึงผลิตภัณฑ์แฟชัน ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางสูง เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้รับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ซึ่งจะมีการนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าขั้นกลางมาจากหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงจีนเพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิต/ประกอบ หรืออาจใช้ไทยเป็นทางผ่านเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่สามต่อไป 
 
กลุ่มที่ 2 พึ่งพาส่งออกต่ำ แต่นำเข้าจากจีนสูง (Exposure สูง) คิดเป็น 12% ของผู้ประกอบการไทยทั้งหมด จากสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจากจีนสูง แต่สัดส่วนรายได้จากการส่งออกยังค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับยอดขายทั้งหมด ได้แก่ อุตสาหกรรมเหล็ก เฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้าน และเครื่องจักร ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางสูงเช่นกัน เนื่องจากเป็นการนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมภายในประเทศเป็นหลัก ทำให้ผู้ผลิตจีนบางส่วนหันมาลงทุนทำธุรกิจในไทยและนำเข้าสินค้าจากจีนมาขายเองโดยตรง จึงกระทบผู้ผลิตและผู้ค้าในประเทศตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ 
 
กลุ่มที่ 3 พึ่งพาส่งออกและนำเข้าจากจีนปานกลาง (Exposure ปานกลาง) คิดเป็น 40% ของผู้ประกอบการไทยทั้งหมด จากสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจากจีนและ/หรือสัดส่วนรายได้จากการส่งออกในระดับปานกลาง แต่เริ่มเห็นการนำเข้าสินค้าจากจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด สวนทางกับอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ในประเทศที่ลดลงมากในระยะหลัง เช่น อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งหากไม่สามารถพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ได้เท่าที่ควรหรือขยายตลาดทั้งในหรือต่างประเทศได้มากขึ้น คาดว่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากทั้งรูปแบบการค้าและการแข่งขันจากสินค้านำเข้าจากจีนที่รุนแรงขึ้นในระยะต่อไป 
 
กลุ่มที่ 4 พึ่งพาส่งออกและนำเข้าจากจีนต่ำ (Exposure ต่ำ) คิดเป็น 32% ของผู้ประกอบการไทยทั้งหมด โดยคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร ท่องเที่ยวและการแพทย์ เป็นต้น 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 10 ต.ค. 2567 เวลา : 14:14:26
24-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 24, 2024, 7:52 pm