คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1450-1480 จุด โดยช่วงแรกคาดได้ Sentiment ลบ จากตลาดหุ้นสหรัฐกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ตาม มองกรอบล่างบริเวณแนวรับ 1460 และ 1450 จุด ตามลำดับ คาดยังรองรับได้ โดยมีเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ช่วยประคอง ส่วนกรอบบนยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1480 จุด เนื่องจากตลาดขาดปัจจัยหนุนใหม่ ประเด็นสำคัญวันนี้ ติดตามประชุมกนง.
ประเด็นสำคัญ
• วันนี้ติดตามกนง. ประชุมนโยบายการเงิน ตลาดคาดว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ขณะที่เราคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps สู่ 2.25%
• หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ได้แจ้งต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า อิสราเอลมีแผนถล่มเป้าหมายทางการทหารในอิหร่าน โดยจะไม่โจมตีแหล่งน้ำมันหรือโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน
• IEA เผยอุปสงค์น้ำมันโลกปีนี้จะเพิ่มขึ้น 0.9 ล้านบาร์เรล/วัน และ 1 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า นอกจากนี้อุปสงค์น้ำมันของจีนลดลง 0.5 ล้านบาร์เรล/วันใน ส.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4
• IMF เผยหนี้สาธารณะทั่วโลกกำลังจะทะลุระดับ 100 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในปีนี้ และอาจเร่งตัวเร็วขึ้นกว่าที่คาดไว้ จากกระแสการเมืองที่สนับสนุนการใช้จ่ายภาครัฐที่มากขึ้นและเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง และเรียกร้องให้ทั่วโลกรัดเข็มขัดทางการคลัง
• นายกฯ สั่งคลังและคมนาคมร่วมศึกษานโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายเพื่อลดการใช้รถยนต์และลดค่าใช้จ่ายประชาชน ตั้งเป้าเริ่มบังคับใช้ภายในก.ย. 2568
• รมว. ท่องเที่ยวฯ เผยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมในปีนี้อยู่ที่ 27,218,869 คน และสร้างรายได้แล้วราว 1.27 ล้านลบ. คาดได้ปัจจัยหนุนเพิ่มขึ้นจากนทท. ยุโรป-สหรัฐฯ ที่เริ่มเดินทางสู่ไทย
• รมว. คลังออกมาตรการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยเพิ่มเติม อาทิ ค่าล้างโคลนเพิ่มเติม 10,000 บาท/ครัวเรือน, ยกเว้นภาษีเงินได้, กรมธนารักษ์ยกเว้นค่าเช่า และการปล่อยสินเชื่อโดยธนาคารรัฐ
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัว Sideway และยังมี Upside จำกัด เนื่องจากอยู่ระหว่างรอความชัดเจนเรื่องทิศทางดอกเบี้ยของธปท. (วันที่ 16 ต.ค. กนง. จะมีการประชุมซึ่งเราคาดจะมีการปรับลดดอกเบี้ย 25bps) อีกทั้งยังรอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ ขณะที่ปัจจัยภายนอกจะมีประเด็นเฉพาะตัว อาทิ การเข้าสู่ฤดูกาลประกาศงบ 3Q67 ของ บจ. ในสหรัฐฯ และยุโรป ส่วนตลาดหุ้นจีนมองเริ่มมีความผันผวนลดน้อยลง ทั้งนี้การประชุมนโยบายการเงินของ ECB (วันที่ 17 ต.ค.) คาดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25bps และทิศทางดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET แกว่งตัว Sideway และมี Upside จำกัด ระหว่างรอความชัดเจนทิศทางดอกเบี้ยของไทย เข้าสู่ช่วงประกาศงบกลุ่มธพ. และยังจับตาความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. Earnings Play หุ้นปัจจัยพื้นฐานดีที่กำไร 3Q67 คาดเติบโต YoY และ QoQ เลือก BEM BCH BDMS GULF TRUE AU TNP และระมัดระวังกลุ่มที่มีความเสี่ยงงบแย่กว่าตลาดคาด อาทิ กลุ่มพลังงานและปีโตรฯ, กลุ่มบรรจุภัณฑ์, และ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
2. ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ หากเชื่อกนง. จะลดดอกเบี้ย เก็งกำไร LHHOTEL DIF CPALL AP SIRI ส่วนกลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) มองราคาปรับขึ้นสะท้อนความคาดหวังแล้ว แต่หากเชื่อไม่ลดดอกเบี้ย เก็งกำไรหุ้นที่มีหนี้/ต้นทุนรูปดอลลาร์สูง AAV GPSC BCP
3. หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี แนะนำหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB BBL ADVANC HMPRO
4. ราคาน้ำมันดิบ Brent ฟื้นตัวจากความกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยประเมินกรอบราคา 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง เลือก PTTEP
DAILY TOP PICKS
GPSC: มองมีปัจจัยบวกระยะสั้นจากราคาก๊าซยุโรปและ Bond Yield ที่ปรับตัวลง ขณะที่ปี 2567 คาดกำไรปกติอยู่ที่ 4.58 พันลบ. เติบโต 33.8%YoY และจะเติบโตต่อเนื่องอีก 16.3%YoY ในปี 2568 ปัจจัยหนุนจากส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นหลังมีกำลังการผลิตติดตั้งที่สูงขึ้นในอินเดียและไต้หวัน ทั้งนี้แนะนำราคาเข้าซื้อวันนี้ไม่เกิน 46 บาท
LHHOTEL: มองได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทยและการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ 3Q67 คาดมีกำไรปกติ 428 ลบ. เพิ่มขึ้น 3.6%QoQ ตามฤดูกาล และ 87.8%YoY จากรับรู้รายได้ทรัพย์สินใหม่ 2 โครงการ (โรงแรมแกรนด์เซนเตอร์พอยต์ พัทยา และโรงแรมแกรนด์เซนเตอร์พอยต์สเปซ พัทยา) ที่กองทรัสต์ได้เข้าลงทุนใน 4Q66
ข่าวเด่น