คาด SET ได้รับปัจจัยกดดัน หลัง Bond Yield สหรัฐฯ ปรับขึ้นแรง จากถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณไม่เร่งลดดอกเบี้ย และเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าเป็นลบต่อทิศทาง Fund Flow ด้านแนวรับอยู่ที่ 1480 และ 1475 จุด ตามลำดับ หากต่ำกว่า เป็นสัญญาณลบต่อภาพการพักฐาน ส่วนกรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1500-1507 จุด
ประเด็นสำคัญ
• BOI เผยยอดการขอรับการลงทุนช่วง 9M67 เพิ่มขึ้น 42%YoY สู่ 7.2 แสนลบ. สูงที่สุดในรอบ 10 ปี หนุนจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมใหม่อย่างเซมิคอนดักเตอร์, อิเล็กทรอนิกส์, ดิจิทัล, EV และพลังงานหมุนเวียน
• PBOC ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 และ 5 ปีลง 25bps สู่ 3.1% และ 3.6% ตามลำดับ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมส่งสัญญาณจะปรับลดอัตราส่วนการกันสำรอง (RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ลงอีกภายในสิ้นปี
• ธพ. อย่าง KBANK และ SCB เริ่มทยอยลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 12-25bps ตามมติการลดดอกเบี้ยโดยที่ประชุม กนง. ต่อจากธนาคารออมสิน, ธอส. และ ธ.ก.ส. มีผลวันที่ 1 พ.ย. นี้
• สศก. ลดคาดการณ์เศรษฐกิจการเกษตรปีนี้อยู่ระหว่าง -0.8% ถึง 0.2% เนื่องจากเผชิญภาวะ El Nino กดดันในช่วงครึ่งปีแรกและอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา แต่มีปัจจัยหนุนจากปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น, สินค้าเกษตรคุณภาพดีขึ้น และความต้องการสินค้าเกษตรที่มากขึ้น
• รัฐบาลเตรียมแถลงจัดงาน Thailand Winter Festival ในวันที่ 29 ต.ค. นี้เพื่อสนับสนุน Soft Power และคาดว่า พ.ร.บ. THACCA จะสามารถเกิดขึ้นได้ในปี 2568 และช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวและ Soft Power ที่ครอบคลุมกว่า 11 อุตสาหกรรมได้อย่างแท้จริง
• รมช. คลังพบรมว. คลังฮ่องกงในการประชุมรัฐมนตีคลังเอเปค และหารือถึงความร่วมมือทางการเงินเพื่อเชื่อมศูนย์กลางการเงินระหว่าง 2 เขตเศรษฐกิจ และส่งเสริมการค้าและการลงทุน
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET แกว่งตัว Sideway โดยแม้ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมาแถว 1500 จุดหลัง กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย และคาดยังมีแรงส่งต่อเนื่อง รวมไปถึงยังมองมีปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะผลประกอบการของ บจ. ในสหรัฐ ที่คาดจะออกมาแข็งแกร่งกว่าตลาดคาด สืบเนื่องจากมีความคาดหวังต่ำ แต่มอง SET จะมี Upside จำกัด หลังเริ่มเข้าสู่ช่วงติดตามผลประกอบการ 3Q67 ของ บจ. ไทยกลุ่ม Real Sector และยังรอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ และหากพิจารณาในตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศสัปดาห์หน้า อาทิ ตัวเลขอสังหาริมทรัพย์และดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐมองยังมีแนวโน้มชะลอตัวลง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
แม้ SET มีโมเมนตัมปรับขึ้นต่อได้ แต่ช่วงสั้นคาด Upside เริ่มจำกัด หลังเริ่มเข้าสู่ช่วงติดตามผลประกอบการ 3Q67 ของ บจ. ไทยกลุ่ม Real Sector และรอปัจจัยใหม่ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Earning Play ที่ปัจจัยพื้นฐานดีและคาดกำไร 3Q67 เติบโต YoY และ QoQ เลือก BEM BCH BDMS GULF TRUE AU TNP และแนะนำระมัดระวังกลุ่มที่มีความเสี่ยง งบออกมาแย่กว่าตลาดคาด เช่น กลุ่มพลังงานและปีโตรฯ จากราคาน้ำมันลดลง กลุ่มบรรจุภัณฑ์จากยอดขายอ่อนตัวและค่าเงินบาทแข็ง และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์จากค่าเงินบาทแข็ง
2. หุ้นที่ได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยปรับตัวลง LHHOTEL DIF CPALL AP SIRI รวมถึง SPALI หลังรัฐเตรียมออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษไม่เกินคนละ 3 ลบ., TISCO KKP ที่มีสัดส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อสูง และหุ้นที่มีต้นทุนกู้ยืมลดลง GPSC BAM
3. หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดเป็นเป้าหมายของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนลดหย่อนภาษี แนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Div. Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโตในปี 2025 เลือก KTB BBL ADVANC HMPRO BCP
4. สำหรับนักลงทุนที่ยังกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางและต้องการหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
BDMS: มองเป็นหุ้นเด่นกลุ่มการแพทย์ โดย 3Q67 คาดกำไรปกติสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราว 4.3-4.4 พันลบ. เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ขณะที่ทั้งปี 2567 คาดมีกําไรปกติเติบโต 13%YoY สู่ 1.6 หมื่น ลบ. และยังเติบโตต่ออีก 8%YoY ในปี 2568 อีกทั้ง Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำที่ PER 2567F ระดับ 27 เท่า (-2SD) วันนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรไม่เกิน 29.25 บาท
BEM: 2H67 คาดกำไรจะแข็งแกร่งขึ้น HoH ส่วน 3Q67 คาดกำไรปกติเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ โดยได้แรงหนุนจากจำนวนผู้โดยสาร MRT ที่เพิ่มขึ้นและการขึ้นค่าโดยสาร MRT อีกทั้งมองมี Upside Risk เพิ่มเติมจากโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 (Double Deck) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ซึ่งเรายังไม่ได้นำมารวมไว้ในประมาณการ
ข่าวเด่น