คาด SET เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ เนื่องจากมีหลายประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ การเลือกตั้งปธน. สหรัฐฯ การประชุมเฟด และการประชุม NPC ของจีน โดยกรอบบนจำกัดที่แนวต้าน 1470-1475 จุด จากแรงขายลดความเสี่ยงก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ ส่วนกรอบล่างมีแนวรับ 1455-1460 จุด คาดยังรองรับได้ ด้วยแรงซื้อประคองจากเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ และกองทุนประหยัดภาษี
ประเด็นสำคัญ
• ททท. เตรียมเปิดโครงการแอ่วเหนือคนละครึ่งเฟส 2 ทันทีเมื่อสิทธิเฟสแรกหมดลง โดยคาดจะหมดในวันแรกของการเปิดลงทะเบียนเมื่อ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยเฟสที่ 2 นี้จะเพิ่มสิทธิเป็น 2 เท่า หรือ 20,000 สิทธิ เพื่อให้เกิดการเดินทางต่อเนื่อง ซึ่งจะใช้งบประมาณ 8 ลบ.
• กระทรวงการคลังเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้เสียรายย่อยที่อยู่ใน ธพ. 1 ล้านลบ. โดยเสนอให้ยกเว้นดอกเบี้ย 3 ปี ยืดเวลาผ่อน ลดเงินต้นเหลือครึ่งเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้หนี้ที่มีอยู่ได้รับการปรับโครงสร้าง สามารถชำระได้ ทำให้เข้าถึงสินเชื่อใหม่เพิ่มเติม
• BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการดาต้าเซ็นเตอร์ 2 โครงการใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นลบ. คือ บริษัทในเครือ Google (ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่ 5 ในเอเชียของกูเกิลตั้งอยู่ที่ จ.ชลบุรี มีแผนเปิดบริการต้นปี 2570) และ GDS (ตั้งที่ จ.ชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการปี 2569)
• สคร. พิจารณาทยอยเปิดประมูลขายหุ้นรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถืออยู่ในสัดส่วนที่ต่ำกว่า 50% ออกไปภายใน 4-5 ปี โดยเบื้องต้นจะกำหนดราคาขายแบบการปรับราคาขายตามมูลค่าตลาด
• ยอดขาย EV จีนในสหภาพยุโรปลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ในเดือน ก.ย. ลดลง 9.6%YoY กระทบจากปรับขึ้นกำแพงภาษีต่อจีนสูงถึง 45%
• IMF เผยว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีการส่งออกสินค้าที่ถูกตั้งกำแพงภาษีโดยจีนหรือสหรัฐฯ
• OPEC ตกลงเลื่อนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือน ธ.ค. ออกไปหนึ่งเดือน เนื่องจากอุปสงค์อ่อนแอโดยเฉพาะจากจีน และอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากภายนอกกลุ่ม ทำให้ตลาดน้ำมันได้รับแรงกดดันลดลง
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้น SET มีโอกาสฟื้นตัวจากระดับ 1450 จุด เนื่องจากมองตัวเลขเงินเฟ้อจีนจะออกมาต่ำกว่าคาดทำให้จีนอาจจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ และคาดเฟดมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้น รวมไปถึงการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐ คาดจะทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะมีความผันผวนที่สูงหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ปธน. ส่วนปัจจัยในประเทศน่าจะถูกขับเคลื่อนด้วยผลประกอบการ 3Q67 ของ บจ. ไทยเป็นสำคัญ แต่อย่างไรก็ดี ความผันผวนของค่าเงินและ Fund Flow ที่ยังไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ยังเป็นแรงกดดันต่อ Upside ของ SET ที่ 1500 จุด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวจากระดับ 1450 จุด แต่ยังมีแรงกดดันที่ 1500 จุด จากความผันผวนของค่าเงิน Fund Flow ที่ยังไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Earnings Play สำหรับเก็งกำไรระยะสั้น คาดกำไร 3Q67 ออกมาเติบโตดี YoY เลือก CPAXT TU BCH MTC CBG WHA BDMS CPALL TIDLOR BEM AOT และแนะนำระมัดระวังกลุ่มที่ 3Q67 เสี่ยงแย่กว่าตลาดคาด พลังงานและปีโตรฯ จากราคาน้ำมันลดลง
2. หุ้น Global Play คาดระยะสั้นยังได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าและคาดกำไร 3Q67 เติบโต YoY และ 2H67 แข็งแกร่ง HoH และ YoY เลือก TU AOT
3. หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนลดหย่อนภาษี (SSF, RMF และ THAIESG) แนะนำหุ้น SET100 ที่มี Div. Yield ขั้นต่ำ 3.5%, ESG Rating และ CG สูง, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มเติบโตในปี 2025 เลือก BBL ADVANC HMPRO BCP ทั้งนี้แนะนำรอซื้อเมื่ออ่อนตัว หลังราคาหุ้นปรับขึ้นมาแรงในช่วงที่ผ่านมา
4. สำหรับนักลงทุนที่ยังกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางและต้องการหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
AOT: 4QFY67 คาดกำไรปกติ 4.0 พันลบ. เพิ่มขึ้น 10%YoY (จากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น) แต่ลดลง 13% QoQ (จากรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ลดลง) และโมเมนตัมกำไรจะแข็งแกร่งขึ้น YoY และ QoQ ใน 1QFY68 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย และยังมีปัจจัยบวกหนุนจากช่วง Golden Week ของจีน
WHA: มองอยู่ในตำแหน่งที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดรายหนึ่งจากการขยายตัวของธุรกิจที่เป็นคลื่นลูกใหม่ เช่น Data center ขณะที่ 3Q67 คาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ และ 4Q67 จะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปีนี้ โดยปี 2567 คาดกำไรจะเติบโต 12.7%YoY และเติบโตต่อ 16.2%YoY ในปี 2568 หนุนด้วย Backlog และ FDI
ข่าวเด่น