ชัยชนะของทรัมป์หนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่คาดจะกดดันตลาดหุ้นไทย โดย Fund Flow มีโอกาสไหลออกได้ต่อ จากดอลลาร์แข็งค่าและบาทอ่อน รวมถึงความกังวลด้านนโยบายกีดกันทางการค้ากดดันดัชนีให้ปรับลงได้ต่อ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1460 และ 1450 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1480-1487 จุด
ประเด็นสำคัญ
• พรรค Republican ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ทั้งสภาบน (52 ต่อ 42) และสภาล่าง (198 ต่อ 180) และชนะในทุก Swing State 7 มลรัฐฯ ทำให้นายโดนัลด์ ทรัมป์คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งเป็นปธน. สหรัฐฯ คนที่ 47
• สมาคมธนาคารไทยเปิดเกณฑ์ช่วยเหลือแก้หนี้ครัวเรือน ย้ำเป็น NPL ไม่เกิน 1 ปี สินเชื่อบ้านไม่เกิน 3 ลบ. สินเชื่อรถไม่เกิน 7 แสนบาท และเอสเอ็มอีไม่เกิน 3 ลบ. รวมวงเงินช่วยเหลือ 1.4 ล้านลบ. ส่วนแหล่งเงินทุนมาจากให้แบงก์ลดเงินนำส่ง FIDF เหลือ 0.23% จาก 0.46%
• ม. หอการค้าไทยเผยผลสำรวจการใช้จ่ายช่วงวันลอยกระทง 15 พ.ย.นี้ คาดมีมูลค่าใช้จ่าย 10,355 ลบ. เพิ่มขึ้น 3.5%YoY สูงสุดรอบ 9 ปี แต่แจกเงินหมื่นบาทไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จี้รัฐออกมาตรการเพิ่ม
• ธอส. เผยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกทม. และปริมณฑล 3Q67 มีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนที่ดิน ค่าแรง น้ำมัน กระทบต้นทุนก่อสร้าง สะท้อนแนวโน้มบ้านจัดสรรและห้องชุดใหม่ในปีหน้ามีราคาเพิ่มสูงขึ้น
• เงินเฟ้อทั่วไปเดือนต.ค. สูงขึ้น 0.83% จากการสูงขึ้นของราคาอาหาร โดยเฉพาะผักและผลไม้สด และราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้าซึ่งมีฐานราคาปีก่อนต่ำกว่าจากมาตรการช่วยเหลือ
• กกร. ประเมิน GDP ปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2.6-2.8% จากเดิมที่คาด 2.2-2.7% ขับเคลื่อนจากการส่งออก, การกระตุ้นกำลังซื้อ, เร่งเบิกจ่ายงบฯ และมีมาตรการระยะสั้น กลาง และยาว ที่กำลังทยอยออกมา
• สถาบันปิโตรเลียมและพลังงานแห่งประเทศไทยแนะรัฐบาลเร่งจัดหาแหล่งก๊าซฯ ในช่วงเปลี่ยนพลังงาน เนื่องจากปัจจุบันปริมาณสำรองก๊าซฯ ลดลงต่อเนื่องจนเข้าขั้นวิกฤติ ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LNG ในราคาที่ผันผวนเพิ่มขึ้นมีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้น SET มีโอกาสฟื้นตัวจากระดับ 1450 จุด เนื่องจากมองตัวเลขเงินเฟ้อจีนจะออกมาต่ำกว่าคาดทำให้จีนอาจจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ และคาดเฟดมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้น รวมไปถึงการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ คาดจะทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะมีความผันผวนที่สูงหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ปธน. ส่วนปัจจัยในประเทศน่าจะถูกขับเคลื่อนด้วยผลประกอบการ 3Q67 ของ บจ. ไทยเป็นสำคัญ แต่อย่างไรก็ดี ความผันผวนของค่าเงินและ Fund Flow ที่ยังไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ยังเป็นแรงกดดันต่อ Upside ของ SET ที่ 1500 จุด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวจากระดับ 1450 จุด แต่ยังมีแรงกดดันที่ 1500 จุด จากความผันผวนของค่าเงิน Fund Flow ที่ยังไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Earnings Play สำหรับเก็งกำไรระยะสั้น คาดกำไร 3Q67 ออกมาเติบโตดี YoY และเป็นหุ้นที่เราแนะนำ Outperform เลือก CPAXT TU BCH MTC CBG WHA BDMS CPALL TIDLOR BEM AOT
2. หุ้น Global Play คาดระยะสั้นยังได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าและคาดกำไร 3Q67 เติบโต YoY และ 2H67 คาดกำไรยังแข็งแกร่ง HoH และ YoY เลือก TU AOT
3. หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนลดหย่อนภาษี (SSF, RMF และ THAIESG) แนะนำหุ้น SET100 ที่มี Div. Yield ขั้นต่ำ 3.5%, ESG Rating และ CG สูง, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มเติบโตในปี 2025 เลือก BBL ADVANC HMPRO BCP ทั้งนี้แนะนำรอซื้อเมื่ออ่อนตัว หลังราคาหุ้นปรับขึ้นมาแรงในช่วงที่ผ่านมา
4. สำหรับนักลงทุนที่ยังกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางและต้องการหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
CPAXT: 3Q67 คาดกำไรจะเติบโต YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น จากนั้นจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดของปีนี้ใน 4Q67 (เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ) ทั้งนี้ภายหลังควบรวมกิจการ synergy จะเริ่มมีให้เห็นใน 4Q67 และชัดเจนมากขึ้นในช่วงกลางปี 2568 อีกทั้งมองเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์หลักของกลุ่มพาณิชย์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
AWC: 3Q67 คาดผลการดำเนินงานจะออกมาเด่นสุดในกลุ่ม โดยกำไรปกติจะเติบโต 92%YoY และ 19%QoQ ขณะที่กำไรปกติของผู้ประกอบการรายอื่นๆ จะลดลง QoQ ส่วนปี 67 คาดมีกำไรปกติเติบโต 57%YoY และเติบโตต่อ 23% YoY ในปี 2568 แรงหนุนจากการดำเนินงานโรงแรมที่ดีขึ้น ซึ่งโมเมนตัมกำไรที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น
ข่าวเด่น