AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ นับว่าเข้ามาพลิกโฉมวิถีชีวิตของคนเราให้สะดวกและมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตของมนุษย์ทุกคน ที่ไม่ว่าจะทำอะไร หรือมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งไหน จะสังเกตได้ว่าหากสิ่งแวดล้อมรอบตัวของเรา มี AI เข้ามาสอดแทรกด้วยแล้วนั้น มักจะเป็นการเข้ามาอำนวยความสะดวก เสริมประสิทธิภาพการทำงาน และทำให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้น ดังนั้นในบริบทของภาคธุรกิจ หากองค์กรใดองค์กรหนึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องของ AI อย่างลึกซึ้ง ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินงาน การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุด อันเป็นความเข้มแข็งขององค์กรที่จะสามารถยืนหยัดและนำพาตัวเองไปสู่โลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว
เช่นเดียวกับทาง SCBX บริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีการปรับโครงสร้างใหม่ (จาก SCB) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันในอนาคตด้วยการวางรากฐานบริษัทให้รองรับบริบทใหม่ของโลก ซึ่งก็คือการปรับเส้นทางขององค์กรให้มุ่งสู่การเป็น AI-first Organization หรือการนำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้กับทุกส่วนขององค์กร ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะความสามารถของพนักงาน ที่ร่วมดำเนินสร้างความมั่นคงทางธุรกิจของSCBX ควบคู่ไปกับการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
โดยทาง SCBX ให้ความสำคัญกับ 3 สิ่งที่จะสามารถผลักดันให้องค์กรบรรลุสู่การเป็น AI-first Organization ได้แก่ 1.Data Obsessed การมองทุกอย่างให้เป็น Data เช่น การนำ Data มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคหรือแคมเปญต่าง ๆ 2. Change Process การนำ AI มาปรับใช้กับทุกขั้นตอนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ และ 3.Growth Mindset การนำ AI มาใช้พัฒนาความรู้ ความสามารถของพนักงาน เช่นการสร้าง AI Literacy Program อบรมโปรแกรมพื้นฐานการใช้ AI ให้แก่พนักงานภายใต้ SCBX เพื่อนำความรู้ไปปรับใช้กับการทำงาน และต่อยอดสร้างโอกาสการเติบโตในสายงานของตัวเอง
ซึ่งด้วยเป้าหมายของกลุ่ม SCBX ในอีก 5 ปีต่อจากนี้ รายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมประมาณ 75% จะมาจาก AI ฉะนั้นบริษัทจึงมีการผลักดันให้ AI เป็นวาระหลักในการขับเคลื่อนองค์กร โดยการลงทุนเชิงกว้างเพื่อสร้างและพัฒนาเชิงลึก (Deep AI Development) เช่น มีการพัฒนาทีมงาน R&D and Innovation Lab ที่เป็นเหมือนต้นน้ำของการศึกษา การทำความเข้าใจเรื่องของ AI มีความจำเป็นที่จะต้องลงลึก และนำเทคโนโลยีที่มีอิมแพคมาพัฒนาต่อ ให้สามารถนำเสนอนวัตกรรมที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ และต่อยอดให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ นอกจากนี้ เนื่องด้วย People หรือคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทาง SCBX จึงมีการปลูกฝังและสร้าง AI Culture (วัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง AI) ในวัฒนธรรมองค์กรอย่างลึกซึ้งเพื่อให้เกิดการใช้งาน AI อย่างแพร่หลาย (Broad AI Adoption) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กร อันจะนำไปสู่การยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และขยายขีดความสามารการแข่งขันในอนาคต
ด้วยความมุ่งมั่นสู่การเป็น AI-first Organization ของ SCBX นี้เอง ทำให้ล่าสุดในภาคส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ตอกย้ำความสำเร็จในการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาเสริมประสบการณ์ให้กับลูกค้า ผ่านบริการด้าน Digital Wealth ได้แก่ 1. AI Advisory Chatbot 2. บริการ MyAlert และ 3. WEALTH4U ซึ่งสามารถโจทย์ไลฟ์สไตล์การบริหารความมั่งคั่งของลูกค้าในยุคปัจจุบันได้อย่างไร้รอยต่อ ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้งาน Digital Wealth ของธนาคารในปี 2567 เติบโตขึ้นกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนสามารถคว้า 3 รางวัลความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมการเงินดิจิทัลเพื่อบริหารความมั่งคั่ง ประจำปี 2567 จาก 3 สถาบันชั้นนำระดับโลกมาได้ ประกอบด้วย
1. รางวัล Asian Banking & Finance FINTECH Awards (ABF) 2024 ประเภท WealthTech Initiative Award จากบริการ MyAlert
2. รางวัล Global Retail Banking Innovation Awards 2024 ประเภท Excellence in Digital Wealth Management จากบริการ WEALTH4U
3. รางวัล Global Retail Banking Innovation Awards 2024 ประเภท Best Gen-AI Chatbot Initiative จากบริการ Digital Wealth - AI Advisory Chatbot
ด้านนางปิติพร พนาภัทร์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Digital Business ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี AI มาขับเคลื่อนธุรกิจธนาคารในทุกมิติ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นดิจิทัลแบงก์ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง โดยได้นำ AI เข้ามาเสริมประสบการณ์ด้านการลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลแก่ลูกค้าอย่างไร้รอยต่อ เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพที่จะตั้งต้นสร้างความมั่งคั่ง สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของธุรกรรมบน SCB EASY ที่ขยายตัวขึ้น 23% (yoy) โดยพบว่าปัจจุบันมีจำนวนครั้งของการลงทุนบนช่องทางดิจิทัลสูงกว่าช่องทางอื่นๆ ถึง 7 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของลูกค้าที่นิยมใช้ SCB EASY ในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากการดำเนินงานดังกล่าว ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้งาน Digital Wealth ของธนาคารในปี 2567 เติบโตขึ้นกว่า 20% ตอกย้ำถึงความสำเร็จของธนาคารในการพัฒนา 3 บริการด้าน Digital Wealth ที่เหมาะสมและตรงใจลูกค้าแต่ละราย (Hyper-Personalized) ได้แก่ 1. AI Advisory Chatbot แชตบอตที่สามารถโต้ตอบ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับกองทุน ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยให้การลงทุนง่ายยิ่งขึ้น บนช่องทาง LINE SCB CONNECT ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้บริการเฉลี่ยต่อเดือน เติบโตสูงขึ้นถึง 33% 2. บริการ MyAlert แนะนำและแจ้งเตือนการลงทุนแบบเฉพาะบุคคล บน SCB EASY โดยใช้ความสามารถพิเศษในการประมวลผลจากข้อมูลพอร์ตลงทุนที่มีอยู่ และแจ้งเตือนเมื่อถึงจังหวะการลงทุนได้อย่างทันท่วงที ส่งผลให้เกิดอัตราการเข้าถึงบริการในการสื่อสารกับลูกค้ามากกว่า 20 เท่า สร้างกระแสเงินหมุนเวียนของผลิตภัณฑ์การลงทุนเพิ่มขึ้นบน SCB EASY สูงถึง 67% และ 3. WEALTH4U บริการช่วยให้การลงทุนง่ายขึ้น โดยแนะนำกองทุนให้เหมาะสำหรับบุคคล แบบ Personalized ซึ่งมีอัตราความแม่นยำสูงขึ้นถึง 1.3 เท่า ทำให้มั่นใจกับการลงทุน กว่า 800 กองทุน ที่ผ่านการคัดสรรโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนของ SCB สามารถช่วยให้การจัดหมวดหมู่สินทรัพย์การลงทุนทำด้วยตนเองง่ายๆ บนแอป SCB EASY ส่งผลให้การเข้าถึงบริการเติบโตขึ้นถึง 35% ในปี 2567
ทั้งนี้ธนาคารยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ครอบคลุมเพื่อนำไปสู่การสร้างความมั่งคั่งให้แก่ลูกค้าด้วยเครื่องมือดิจิทัล พร้อมคาดว่าภายในสิ้นปี 2567 สัดส่วนรายได้ดิจิทัลของธนาคารจะเพิ่มขึ้นเป็น 14% เมื่อเทียบกับปี 2566 และจะสามารถขับเคลื่อนองค์กรสู่ดิจิทัลแบงก์เต็มรูปแบบด้วยเป้าหมายรายได้ดิจิทัล 25% ภายในปี 2568
จะเห็นได้ว่าบริษัทในกลุ่ม SCBX กำลังเดินหน้าผลักดันเรื่องของเทคโนโลยี AI อย่างเต็มกำลังในทุกภาคส่วน ตั้งแต่การพัฒนาองค์กร ใช้เป็นเครื่องมือในการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และมีทีมค้นคว้าและพัฒนาอย่างเชิงรุก สิ่งเหล่านี้เป็นตัวการันตีความสำเร็จได้อย่างดีเลยว่า SCBX จะเป็นสถาบันการเงินที่ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำด้าน AI ในบริบทของโลกยุคใหม่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ข่าวเด่น