คาดกรอบบนยังถูกจำกัด โดยมีแนวต้านที่ 1460-1465 จุด ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่เป็นลบโดยดอลลาร์แข็งค่า กดดันเงินบาทอ่อนค่า เป็นลบต่อทิศทาง Fund Flow รวมถึง Bond Yield สหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้น สร้าง Sentiment ลบ ต่อตลาด ทั้งนี้ กรอบล่างมีจุดติดตามที่แนวรับ 1440 จุด หากต่ำกว่า เป็นสัญญาณลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1430 จุด
ประเด็นสำคัญ
• รมว. คลังเผยถึงการประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจในวันที่ 19 พ.ย.นี้จะมีการหารือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน, การปรับโครงสร้างหนี้ และนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเฟสสอง
• รมว. คลังเผยรัฐบาลมีข้อจำกัดในการจัดทำงบประมาณขับเคลื่อน ศก. โดยเพดานหนี้สาธารณะต้องไม่เกิน 70% ของ GDP โดยตั้งเป้าขาดดุลจากปัจจุบัน 12 ล้านลบ. เพิ่มขึ้นไม่เกิน 3 ล้านลบ. กำหนดขาดดุลการค้าไม่เกิน 8 แสนลบ. ต่อปี หวังเห็นปีหน้าโตเกิน 3%
• ส.อ.ท. กังวลนโยบายทรัมป์หลังพบกลุ่มธุรกิจสหรัฐฯ ทั้ง Data Center และ Cloud ขออนุมัติลงทุนแล้วแต่ชะลอการตัดสินใจ คาดอาจย้ายกลับสหรัฐฯ หอการค้าไทยแนะเร่งสร้าง Ecosystem หนุนการลงทุน
• ดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรม ต.ค. อยู่ระดับ 89.1 เพิ่มขึ้นจาก ก.ย. เพราะน้ำท่วมเริ่มคลี่คลาย อานิสงส์แจกเงินหมื่นกระตุ้นยอดขายสินค้า และธพ. ลดดอกเบี้ย แนะรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นการซื้อรถยนต์
• สหรัฐฯ เผยดัชนี CPI ทั่วไป ต.ค. ปรับขึ้น 2.6%YoY และ 0.2%MoM ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ต.ค. ปรับขึ้น 3.3%YoY และ 0.3%MoM สอดคล้องกับตลาดคาด ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.
• จีนเผยการที่สหรัฐฯ สั่ง TSMC ให้ระงับการจัดส่งชิประดับสูงให้กับลูกค้าชาวจีนบางรายนั้น เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสหรัฐฯ กำลังใช้ไต้หวันเป็นหมากในการสุมไฟความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน
• สถาบันปีโตรเลียมสหรัฐฯ เรียกร้องยกเลิกมาตรฐานการปล่อยมลพิษจากยานยนต์และยกเลิกการระงับออกใบอนุญาตส่งออก LNG ซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อการจ้างงานและความมั่นคงด้านพลังงาน
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways Up โดยปัจจัยลบที่มีต่อเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศมีค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ดีคาดเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะยังชะลอตัวลง ทำให้แนวโน้มกาปรับลดดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยนแปลง รวมไปถึงความชัดเจนในการดำเนินนโยบายของทรัมป์ซึ่งเป็นปธน. สหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งน่าจะยังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดยังคงปรับตัวขึ้นต่อไป ทั้งนี้ผลกระทบจากความคาดหวังของนโยบบายรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจมหาภาคจะทำให้ตลาดมีความผันผวนสูงและอาจจะส่งผลกับทิศทาง Fund Flow โดยเฉพาะนโยบายระหว่างประเทศที่มีต่อจีน ส่วนปัจจัยในประเทศคาดจะถูกขับเคลื่อนด้วยการเข้าสู่ช่วงโค้งสัปดาห์สุดท้ายของการประกาศงบ 3Q67 กลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways Up หลังปัจจัยลบในและต่างประเทศค่อนข้างจำกัด โดยในประเทศคาดจะถูกขับเคลื่อนด้วยการเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการประกาศงบ 3Q67 กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Earnings Play สำหรับเก็งกำไรระยะสั้นในโค้งสุดท้ายของการประกาศงบ 3Q67 ซึ่งคาดกำไรจะเติบโตดี YoY และเราแนะนำ Outperform เลือก AWC BDMS CPALL BEM AOT
2. หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกหลังทรัมป์คว้าชัยชนะเป็นปธน. สหรัฐฯ – AMATA WHA (นโยบายกำแพงภาษี-ย้ายฐานการผลิต), CPF AOT MINT (นโยบายลดภาษี-เพิ่มกำลังซื้อ และได้ประโยชน์จากดอลลาร์แข็งค่า)
3. หุ้นที่ปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์เป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนลดหย่อนภาษี แนะนำหุ้น SET100 ที่มี Div. Yield ขั้นต่ำ 3.5%, ESG Rating และ CG สูง, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และเติบโตในปี 2025 เลือก BBL ADVANC HMPRO BCP ทั้งนี้แนะนำรอซื้อเมื่ออ่อนตัว หลังราคาหุ้นปรับขึ้นมาแรงในช่วงที่ผ่านมา
4. สำหรับนักลงทุนที่ยังกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางและต้องการหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
CRC: 3Q67 กำไรปกติเพิ่มขึ้น 24%YoY และ 4%QoQ สูงกว่าคาดจากค่าใช้จ่ายต่อยอดขายต่ำและรายได้อื่นสูงกว่าคาด 4Q67 คาดกำไรจะเป็นจุดสูงสุดปีนี้ หนุนจากปัจจัยฤดูกาลและการขยายสาขา รวมทั้งการคุมค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งนี้มองเป็นหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ที่อาจขึ้น วันนี้แนะนำซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกิน 31.50 บาท
LHHOTEL: 3Q67 กำไรปกติเพิ่มขึ้น 104.3%YoY และ 12.8%QoQ สูงกว่าคาดจากต้นทุนที่ต่ำกว่าคาด 4Q67 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้งยังเห็นแนวโน้ม Upside ในประมาณการ ทั้งนี้มองการปรับลงของราคาหน่วยทรัสต์เมื่อไม่นานนี้หลังจาก Bond Yield สหรัฐฯ ปรับขึ้นเป็นโอกาสเข้าซื้อ เนื่องจากคาดเฟดจะยังปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง
ข่าวเด่น