หุ้นทอง
"ความหลากหลายทางชีวภาพ" โอกาสและความเสี่ยงของธุรกิจ (ตอนที่ 2)


บทความตอนที่แล้วได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของธุรกิจกับความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ที่โลกกำลังเผชิญ โดยวิกฤตนี้เป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสสำหรับธุรกิจ สำหรับตอนที่สอง จะเป็นตอนจบของบทความนี้ ที่จะนำเสนอภาพของความพยายามจากทั่วโลก ในการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพที่ธุรกิจควรตระหนักและดำเนินการตอบสนองอย่างเหมาะสม

การตอบสนองต่อวิกฤติจากทั่วโลก

เพื่อรับมือกับวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประชาคมโลกได้ร่วมกันจัดทำและรับรอง "กรอบงานคุนหมิง – มอนทรีออล ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก หรือ Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework (KM-GBF)” ขึ้นในการจัดประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity: CBD) สมัยที่ 15 (COP 15)[1] เมื่อเดือนธันวาคม 2565 ณ นครมอนทรีออล ประเทศแคนาดา โดยกรอบงานนี้มีเป้าหมายเพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพในระดับโลก และเพื่อถ่ายทอดหรือแปลงไปสู่การปฏิบัติในระดับประเทศ โดยประเทศไทยที่เป็นภาคีของอนุสัญญาดังกล่าวก็ได้ลงนามในอนุสัญญา CBD[2] ซึ่งจะต้องนำกรอบงานนี้ไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศด้วย

นอกจากนี้ หลายประเทศเริ่มกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ[3] เช่น สหภาพยุโรปออกกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์ที่ปลอดการตัดไม้ทำลายป่า[4] (Deforestation-free Products) เพื่อห้ามไม่ให้บริษัทในสหภาพยุโรปรับซื้อสินค้าที่มีการตัดไม้ทำลายป่า และขยายไปยังธุรกิจการเงินเพื่อป้องกันการสนับสนุนการทำลายป่า การกำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ลงทุน[5] รายงานด้านความยั่งยืนตามเกณฑ์ Sustainable Finance Disclosure Regulation (SFDR)[6] ที่ครอบคลุมการดำเนินงานหรือกิจกรรมของธุรกิจที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางความหลากหลายทางชีวภาพ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ออกกฎหมาย the Energy-Climate Law[7] เพื่อให้สถาบันการเงินเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น

สำหรับประเทศไทย หลังจากที่ได้ลงนามในอนุสัญญา CBD แล้ว ปัจจุบันภาครัฐโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่างการจัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. …. และจัดทำแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับประเทศ (National Biodiversity Strategies and Action Plans: NBSAPs) ฉบับที่ 5 รวมทั้งจัดทำเป้าหมายระดับชาติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (National Targets) ให้สอดคล้องกับ KM-GBF ด้วย โดยในบางเป้าหมายมีความเกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจโดยเฉพาะตลาดทุนไทย อาทิ การติดตามการดำเนินงานของภาคธุรกิจและสถาบันการเงิน การขจัดแรงจูงใจและเงินอุดหนุนที่ส่งผลเสียต่อความหลากหลายทางชีวภาพ การเพิ่มแหล่งเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน

มาตรฐานการรายงานความหลากหลายทางชีวภาพ

นอกจากความร่วมมือในระดับนานาชาติในการส่งเสริมและผลักดันการปกป้องและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังได้มีการพัฒนามาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล เพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถประเมินและรายงานผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นสากล อาทิ ข้อแนะนำของ The Taskforce on Nature-related Financial Disclosures (TNFD Recommendations) ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงการพึ่งพาและผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ วิธีจัดการกับผลกระทบ ความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ตลอดจนช่วยให้ธุรกิจสามารถบูรณาการประเด็นด้านธรรมชาติเข้าผนวกในการตัดสินใจของธุรกิจ และดำเนินการได้สอดคล้องกับเป้าหมายของกรอบ KM-GBF[8]

The Global Reporting Initiative (GRI) ได้ออกมาตรฐาน GRI 101: Biodiversity 2024 เมื่อต้นปี 2567 เพื่อเป็นมาตรฐานในการเปิดเผยข้อมูลสำหรับภาคธุรกิจในการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ และวิธีการจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้น[9] ทั้งนี้ ภายหลังจากที่มีทั้งข้อแนะนำและมาตรฐานการรายงานตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว สองหน่วยงาน คือ TNFD และ GRI ได้ร่วมมือกันจัดทำคู่มือเพื่อเชื่อมโยงการเปิดเผยข้อมูล[10] เพื่อช่วยให้ผู้รายงานตาม GRI สามารถจัดทำรายงานให้สอดคล้องกับข้อแนะนำของ TNFD ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ที่ใช้ข้อแนะนำของ TNFD สามารถเปิดเผยข้อมูลได้สอดคล้องตามมาตรฐาน GRI รวมทั้งหลีกเลี่ยงการรายงานซ้ำซ้อนด้วย โดยทั้งสองหน่วยงานได้เผยแพร่คู่มือดังกล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ The International Sustainability Standards Board (ISSB) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การดูแลของ The IFRS Foundation ได้เปิดเผยแผนงาน[11] สำหรับ ปี 2567 - 2569 ว่าอยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมาตรฐานการรายงานในประเด็นความเสี่ยงและโอกาสด้านความยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ และบริการระบบนิเวศ (Biodiversity, ecosystems and ecosystem services: “BEES”)  ซึ่งความพยายามในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และรักษา BEES สามารถช่วยจัดการความเสี่ยงหรือสร้างโอกาสที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มของบริษัทตามที่ระบุไว้ในมาตรฐาน IFRS S1[12]  ทั้งนี้ การศึกษานี้จะครอบคลุมถึงการพิจารณาความจำเป็นและความเป็นไปได้ในการกำหนดมาตรฐานการรายงานในเรื่อง BEES นี้ด้วย

ตลาดทุนไทยกับความหลากหลายทางชีวภาพ

ก.ล.ต. ได้ส่งเสริมให้ธุรกิจในตลาดทุนไทยผนวกประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เอาไว้และการมีธรรมาภิบาล (ESG) ตลอดจนการมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ เข้าไปในกระบวนการทำธุรกิจและเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้ผู้ลงทุน คู่ค้า ลูกค้า ตลอดจนผู้เกี่ยวข้อง (stakeholders) มีข้อมูลทั้งด้าน ESG และ SDGs ที่จำเป็นต่อการตัดสินใจลงทุน รวมทั้งเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศตลาดทุนที่ยั่งยืน ซึ่งการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมนั้นมีความครอบคลุมเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเห็นได้จากหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีสำหรับบริษัทจดทะเบียน ปี 2560 ที่มีแนวปฏิบัติที่ระบุถึงการที่คณะกรรมการบริษัทควรดูแลให้มีกลไกเพื่อทำให้มั่นใจว่ากิจการจะประกอบธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยป้องกัน ลด จัดการ และดูแลให้มั่นใจว่าบริษัทจะไม่สร้างหรือก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งครอบคลุมการดูแลและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบธุรกิจ[13]  และในคู่มือแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี / รายงานประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ก็ระบุถึงการเปิดเผยข้อมูลการจัดการด?านความยั่งยืนในมิติสิ่งแวดล้อม และการจัดการผลกระทบต่อผู้มีส?วนได้เสียในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจที่อธิบายลักษณะห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ (value chain)[14] ด้วย

นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปีนี้ ก.ล.ต. ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพผ่านช่องทางต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดได้จัดสัมมนา “เสริมสร้างความตระหนักและความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ”[15] ให้แก่กรรมการและผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดทิศทางจากผู้นำองค์กร (tone at the top) ซึ่งสามารถติดตามได้ผ่านเว็บเพจ One Report (sec.or.th)

ธุรกิจจะเริ่มปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างไร

จากความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและผลกระทบ ตลอดจนแรงกดดันต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมา ถึงเวลาแล้วที่ภาคธุรกิจต้องดำเนินการในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเริ่มจากการมี tone at the top ที่นำมาสู่การดำเนินการทั่วทั้งองค์กรและตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งขั้นตอนในการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ การประเมินสาระสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพต่อธุรกิจ ทั้งในเชิงของความเสี่ยงและโอกาส การกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ และแผนการดำเนินงานที่มีเป้าหมายชัดเจนและครอบคลุม การลดผลกระทบ การจัดการ และการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลตามแนวทางและมาตรฐานที่เป็นสากล

หากถามว่าธุรกิจรอได้ไหม หรือทำเมื่อไรดี คำตอบก็เป็นที่ชัดเจนแบบไร้ข้อสงสัยว่า “ทำเลย อย่ารอ” เพราะการชะลอเวลาจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงและต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การลงมือทำทันทีไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ ๆ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจอีกด้วย ก.ล.ต. พร้อมส่งเสริมภาคธุรกิจในการดำเนินการและการเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งในระยะต่อไปจะจัดให้มีเครื่องมือและกิจกรรมเพิ่มเติม เช่น คู่มือสำหรับการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง และการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการแก่บริษัทจดทะเบียน เป็นต้น
 
 
โดยฝ่ายส่งเสริมความยั่งยืน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

LastUpdate 20/11/2567 13:29:44 โดย : Admin
22-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 22, 2024, 1:09 am