ในโลกของสื่อโซเชียลมีเดีย เราต่างพบเห็นการเคลื่อนไหวของเทรนด์ต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะเรื่องของไลฟ์สไตล์ ที่ถ้าหากเทรนด์นั้นเป็นที่ยอมรับในวงกว้างแล้วด้วยนั้น รูปแบบการใช้ชีวิตดังกล่าวก็จะยิ่งมีคุณค่าและถูกรวมเข้าไปอยู่ในชีวิตปกติประจำวัน ไม่เหมือนกับกระแสอื่น ๆ ที่อยู่ได้แค่เพียงชั่วคราวและหมดอายุไปในที่สุด
โดยย้อนกลับไปในช่วงปี 2023 เทรนด์หนึ่งในหมวดไลฟ์ไตล์และการแต่งตัวที่มาแรงอย่างมาก ต้องยกให้กับ Quiet Luxury หรือเทรนด์การใช้ชีวิตที่มีความหรูหราและมีระดับ โดยไม่ได้โชว์หรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น ซึ่งมาจากแนวคิดทางด้านแฟชั่น ที่สวมเสื้อผ้า กระเป๋า และของใช้ที่มีดีไซน์เรียบง่ายแต่มีคุณภาพสูง ไม่ติดโลโก้แบรนด์และดีไซน์ที่ฉูดฉาดเพื่ออวดฐานะตัวเองว่า “เรารวยพอที่จะซื้อสิ่งนี้ได้” แต่กลับสามารถสะท้อนถึงความมีรสนิยมสูงของผู้ที่ใช้ ที่คนในระดับเดียวกันจะรู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นมีฐานะ โดยสัมพันธ์กับความเป็น Old Money หรือคนที่มีความเป็นผู้ดี ตามความหมายของไทย
แต่อย่างไรแล้ว เทรนด์ Quiet Luxury ดังกล่าว ก็เป็นรูปแบบการใช้ชีวิต ที่มีไลฟ์สไตล์หรูหรา เหมือนกับความนิยมของการใช้ของแบรนด์เนมทั่วไปเหมือนเคย ซึ่งการที่เทรนด์ดังกล่าวได้โลดแล่นอยู่บนโซเชียลมีเดีย ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่หมดเงินจำนวนมาก ไปจนถึงเกิดการใช้จ่ายจนเกินตัว เพียงเพื่ออยากให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มสังคมตัวเองในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ต่อจากนั้นสิ่งที่ทิ้งไว้ในระยะยาวกลับเป็นภาระหนี้สิน ที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
ฉะนั้นแล้วจึงมีอีกขั้วตรงข้ามถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งก็คือ “Loud Budgeting” หรือการแสดงออกถึงการประหยัดเงินและการใช้จ่ายอย่างจำเป็นในแบบที่ชัดเจนและเปิดเผยซึ่งอาจจะเป็นการป่าวประกาศให้คนอื่นรับรู้ หรือเปิดแผนการเงินของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ โดยที่ไม่อายว่าคนอื่นจะคิดกับเราอย่างไร เพราะหัวใจสำคัญของเทรนด์นี้ คือการให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงิน โดยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นกับตัวเองออกไป เพื่อนำเงินไปใช้กับสิ่งที่สำคัญกว่าในชีวิต ดังนั้นเทรนด์การอวดความประหยัดดังกล่าว ไม่ได้แปลว่าเรามีเงินไม่พอ แต่เป็นเพราะเราไม่อยากใช้เงินก็เท่านั้น
โดย เทรนด์ Loud Budgeting นี้ เกิดขึ้นจากแนวคิดของ Lukas Battle ผู้ใช้งาน TikTok ชาวอเมริกันรายหนึ่ง ที่ในตอนแรกอยากจะล้อเลียน Quiet Luxury โดยคิดคำที่มีความหมายตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพื่อเปลี่ยนเทรนด์การอวดความหรูหราแบบเงียบ ๆ ไปเป็นการอวดถึงความประหยัดเงินแบบดัง ๆ ไม่ต้องอายใคร ในรูปแบบของทั้งการตัดค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยออกไป เช่น ตัดค่าใช้จ่ายทางสังคม ที่ปฏิเสธการไปปาร์ตี้ หรือกินนอกบ้านกับเพื่อน ด้วยการประกาศจุดยืนถึงแผนการใช้จ่ายตัวเองอย่างชัดเจน รวมถึงการแสดงออกถึงการให้คุณค่ากับการใช้จ่ายอย่างสมเหตุสมผล เช่น การอวดว่าได้ของดีในราคาพิเศษ ที่ซื้อของลดราคา On Sale มาได้ในราคา 2,000 บาท จากราคาปกติ 10,000 บาท หรือการทำ Content สินค้าถูกและดี รีวิวสินค้าที่มีราคาถูกกว่าแต่ให้ผลลัพธ์เหมือนกับสินค้าที่มีราคาแพง หรือจะเป็นการทำของ DIY ทดแทนการซื้อ และการใส่เสื้อผ้าซ้ำ ก็นับเป็น Loud Budgeting เช่นกัน
โดยเทรนด์นี้ นับเป็นการ Normalize การเปิดเผยถึงสถานะทางการเงินให้เป็นเรื่องปกติ และเปลี่ยนมุมมองทางสังคม จากที่ความสำเร็จและคุณค่าของคนเราที่ถูกตีตราผ่านการแสดงออกถึงการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ไปเป็นการใช้เงินอย่างชาญฉลาดและมีสติมากขึ้น ด้วยการให้คุณค่ากับเงินทุกบาทที่จ่ายไป ซึ่งเป็นความสำเร็จในรูปแบบใหม่ที่ได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างในสังคมขณะนี้
ซึ่งด้วยปกติของความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ที่ต้องการเป็นที่ยอมรับ เราจึงเห็นว่าที่ผ่านมา คนในสังคมต่างนิยมที่จะซื้อของที่มีราคา หรือการอวดถึงไลฟ์สไตล์ที่หรูหราเพื่อ Blend In เป็นส่วนหนึ่งเข้ากับสังคม พยายามหลีกเลี่ยงไปจนถึงปกปิดไม่ให้รู้ถึงสถานะทางการเงินของตัวเอง และการประหยัดอดออม ที่แต่ก่อนมีความหมายสัมพันธ์ไปกับ “ความจน” และ “ไม่มีเงิน” เช่น พยายามไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำ เวลาไปออกทริปถ่ายรูป และเลือกใช้สินค้าที่มีแบรนด์เพื่อเสริมความมั่นใจเวลาเข้าสังคม เป็นต้น ฉะนั้นการเกิดขึ้นของ Loud Budgeting จึงเป็นเทรนด์ที่เข้ามาตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตแบบเป็นมิตรกับผู้คนท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ให้น้ำหนักกับความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริง มากกว่าค่านิยมที่ฉาบฉวยภายนอก
ข่าวเด่น