กรุงเทพประกันภัยเผยผลการดำเนินงาน 9 เดือน ปี 2567 เบี้ยประกันภัยรับรวม 23,122.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% คาดสิ้นปีโต 7% หรือ 32,000 ล้านบาท ชี้เบี้ยประกันรถยนต์โตกว่าตลาดที่ 9.9% มองภาพรวมตลาดประกันภัยต่อปีหน้าคล่องตัวมากขึ้น ส่วนทิศทางเศรษฐไทยคาด GDP โตต่ำกว่า 3% SET Index อยู่ที่ระดับ 1,450 -1,460 หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวเติบโต และการส่งออกจะเป็นความหวังของไทยในปีหน้า
ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI กล่าวถึงภาพรวมของตลาดประกันภัยว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมประกันภัยในปีนี้ เรียกได้ว่าไม่ได้มีการเติบโต ซึ่งเทียบกับตัวเลข 6 เดือน ตลาดประกันภัยโตเพียง 0.1% ซึ่งถือว่าน้อยมาก ส่วนรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ช่วง 9 เดือน มีการติดลบอยู่ที่ 0.5% โดยสาเหตุที่ตลาดไม่โตเป็นเพราะสัดส่วนใหญ่ของเบี้ยประกันภัยมาจากประกันรถยนต์ ที่ติดลบ -0.2% สัมพันธ์กับยอดจำหน่ายลดลง โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมียอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ทั้งสิ้นอยู่ที่ 550,000 คันเท่านั้น ส่วนรถยนต์ EV คาดว่ามียอดจดทะเบียนใหม่เพิ่มเติมประมาณ 100,000 คัน ลดจากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 200,000 คัน ในขณะเดียวกัน ประกันภัยทรัพย์สิน หรือ Property โครงการเมกะโปรเจคยังไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมจากตัวแปรงบประมาณของทางภาครัฐ ที่มีการForm เป็นรัฐบาลค่อนข้างช้า
โดยเทียบภาพรวมอุตสาหกรรมกับทางกรุงเทพประกันภัย ดร.อภิสิทธิ์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 23,122.5 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5.2% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าการคาดการณ์เล็กน้อย( 6.5-7%) แต่เทียบกับตลาดภาพรวมที่ไม่ได้โตขึ้นเลยก็ถือว่าบริษัทมีทิศทางการเติบโตที่ค่อนข้างชัดเจน ส่วนผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 1,361.9 ล้านบาท ลดลง 15.9% ส่วนกำไรจากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 1,304.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.4% ทำให้บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 2,666.2 ล้านบาท ลดลง 3.4% และมีกำไรสุทธิ 2,290.7 ล้านบาท ลดลง 10.0% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 21.51 บาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงรักษาความแข็งแกร่งทางด้านการเงินด้วยการมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยอยู่ที่ 178.13% (ณ 30 ก.ย.67) และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับสูงหรือ Credit Rating A- (Stable) (ณ ต.ค. 67) โดย Standard & Poor’s (S&P) สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลก
ปัจจุบันกรุงเทพประกันภัยเป็นบริษัทย่อยที่สร้างรายได้หลักให้แก่ บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BKIH ซึ่งประกอบธุรกิจผ่านการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมุ่งลงทุนในธุรกิจหลักด้านการประกันภัยและธุรกิจอื่นที่หลากหลายและมีศักยภาพ
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) มีรายได้รวม 17,344.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.0% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการรับประกันภัย 15,917.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.5% จากรายได้จากการรับประกันภัยยานยนต์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น และมีรายได้จากการลงทุน 1,427.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.8% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเงินปันผลรับและดอกเบี้ยรับ ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 2,277.9 ล้านบาท ลดลง 10.5% คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 21.39 บาท โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ครั้งที่ 1 สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 11.25 บาท ซึ่งได้จ่ายเงินปันผลแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน เบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่ตลาดติดลบอยู่ -0.2% กรุงเทพประกันภัยโตอยู่ที่ 9.9% ส่งผลให้สัดส่วนของเบี้ยประกันภัยรถยนต์กับพอร์ตรวมของบริษัท จากเดิมที่มีสัดส่วน 42% ปีนี้ขึ้นมาเป็น 44-45% แต่ด้วยสถานการณ์ที่กลับมาเป็นปกติจากโควิด-19 ทำให้ Loss Ratio ขยับขึ้นเป็น 60% จากระดับ 50% ในช่วงปีสุดท้ายของโควิด และในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้ ประเทศไทยเผชิญเข้ากับภัยธรรมชาติในภาคเหนือ ส่งผลให้เกิดความเสียหายในรถยนต์ประมาณ 123 ล้านบาท และ Property พวกอาคารบ้านเรือน และโรงงาน เสียหายคิดเป็นมูลค่า 609 ล้านบาท
ฉะนั้น จากที่ทางกรุงเทพประกันภัยตั้งเป้าโต 8% สำหรับสิ้นปีนี้ คิดเป็นเบี้ยประกันภัยประมาณ 32,400 ล้านบาท ก็คาดว่าบริษัทฯ จะโตได้จริงประมาณ 7% หรือไม่ต่ำกว่า 32,000 ล้านบาท เนื่องจากความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่บีบคั้นการเติบโตค่อนข้างมาก และปัจจัยของเบี้ยประกันรถยนต์ดังกล่าว ที่แม้จะดูเติบโต แต่อัตราของเบี้ยคาดว่าจะได้รับประมาณเท่าเดิม นอกจากนี้ ประกันภัยรถยนต์ EV ไม่ใช่พอร์ตหลักที่วางเป้าการเติบโตของทางกรุงเทพประกันภัย เนื่องจากบริษัทฯ มีการประเมินความเสี่ยงที่เหมาะสม ราคาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ EV ของทางบริษัทฯ จึงมีราคาที่สูงกว่าในตลาด
“แต่ถ้าเป็นประกันภัยรถยนต์ทั่ว ๆ ไป ผมมั่นใจว่าคู่ค้าหลัก ๆ จะให้ความไว้ใจกับกรุงเทพประกันภัยในเรื่องของคุณภาพและบริการ เพราะนับตั้งแต่โควิด-19 ที่มีบริษัทประกันล้มหายตายจากไป คู่ค้าเน้นแนะนำบริษัทที่มีความมั่นคง มากกว่าจูงใจลูกค้าด้วยผลตอบแทนหรือเบี้ยประกันราคาถูก ดังนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของกรุงเทพประกันภัย ทำให้พอร์ตธุรกิจของบริษัทฯ มีการเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด ปีที่แล้วโต 14% ส่วนปีนี้โต 10%” ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว
ดร.อภิสิทธิ์กล่าวต่อไปว่า ตลอดปี 2567 บริษัทฯ มุ่งมั่นขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด พร้อมส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านการมอบความคุ้มครองที่ครอบคลุม สอดคล้องกับความเสี่ยงต่างๆ ในรูปแบบ Personalized Insurance โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ กรุงเทพประกันภัยได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ที่เข้าถึงวิถีชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน ผ่าน 3 เทรนด์ที่น่าสนใจ ได้แก่ เทรนด์ Pet Humanization ที่ผู้คนให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงและออกเดินทางร่วมกันมากขึ้น บริษัทฯ จึงเพิ่มความคุ้มครองการเสียชีวิตและค่ารักษาพยาบาลของสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) ที่อยู่ภายในรถยนต์เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการชน ให้แก่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ทุกแผนประกันภัย ทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าต่ออายุประกันภัย ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2567 โดยไม่ต้องเสียค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมแต่อย่างใด ตามมาด้วยประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 อุ่นใจวัยเก๋า เพื่อรองรับสังคมสูงวัย (Aging Society) ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนอายุ 55-75 ปี ที่ชอบขับรถยนต์ด้วยตนเองในชีวิตประจำวัน ซึ่งเริ่มนำเสนอขายเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 รวมถึงประกันภัยสุขภาพ Telemedicine ที่พัฒนามาเพื่อรองรับบริการแพทย์ทางไกลให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและเข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเริ่มนำเสนอขายไปแล้วในช่วงเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา
พร้อมยกระดับนวัตกรรมการบริการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าและคู่ค้าผ่านการให้บริการที่มีคุณภาพ เหนือความคาดหวัง สะดวก รวดเร็ว และดูแลเอาใจใส่ในทุกความต้องการของลูกค้า มุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ต่อยอดสู่ความเป็นเลิศในการให้บริการที่ไว้วางใจได้ ทุกที่ ทุกเวลา โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการพัฒนาด้านบริการสินไหมทดแทนยานยนต์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าให้ได้มากที่สุด อาทิ การพัฒนาระบบ i-Claim บริการเคลมรถยนต์ออนไลน์ บริการ Self Service Notification และการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าประกันภัยรถยนต์ด้วยการไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) เป็นต้น
ล่าสุดบริษัทฯ ได้เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าตามไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน ด้วยการพัฒนาต่อยอดการให้บริการลูกค้าผ่าน LINE @bangkokinsurance ที่ตอบโจทย์ด้านความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2567 โดยอัตราการแจ้งเคลมรถยนต์ผ่าน LINE เพิ่มขึ้นกว่า 61% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของลูกค้าที่ต้องการเลือกใช้บริการที่สะดวกและรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์ บริษัทฯ จึงได้ขยายการให้บริการฟังก์ชันแจ้งเคลมรถน้ำท่วม ให้ลูกค้าสามารถนำใบแจ้งเคลมผ่านช่องทาง LINE นำรถเข้าซ่อมอู่ได้ทันที ไม่เพียงเท่านี้ยังเพิ่มช่องทางการแจ้งเคลมประกันภัยประเภทอื่นๆ เช่น ประกันอัคคีภัย ประกันภัยไซเบอร์ และประกันภัยโดรน รวมถึงเปิดให้สามารถแจ้งขอเอกสารลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย พร้อมกันนั้น บริษัทฯ ยังได้พัฒนาการบริการที่อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น ด้วยการส่งมอบใบแจ้งความเสียหายผ่านออนไลน์ โดยให้ลูกค้าสามารถเลือกรับเอกสารในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล ผ่าน LINE และ Email ได้ทันทีจากเจ้าหน้าที่สำรวจอุบัติเหตุ ณ จุดเกิดเหตุ และสามารถส่งต่อไฟล์เอกสารดังกล่าวให้อู่ซ่อมได้อย่างรวดเร็ว เพื่อจองคิวซ่อมหรือจัดหาอะไหล่ไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าซ่อมจริง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการสูญหาย อีกทั้งยังส่งเสริมการลดใช้กระดาษเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการใส่ใจดูแลลูกค้า ด้วยการเพิ่มความอุ่นใจผ่านระบบติดตามสถานะการดำเนินงาน (Progress Tracking) โดยกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาเเละเริ่มเปิดให้ลูกค้าใช้บริการด้านสินไหมทดแทนยานยนต์บางส่วน คาดว่าจะให้บริการอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะในขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ผ่านช่องทาง LINE @bangkokinsurance ครอบคลุมทั้งงานด้านการรับประกันภัย การชำระเบี้ยประกันภัย และงานสินไหมทดแทน เช่น ตรวจสอบสถานะผลการตรวจสภาพรถยนต์ ขั้นตอนการจัดส่งกรมธรรม์ประกันภัย การชำระเบี้ยประกันภัย รวมถึงการตรวจสอบสถานะการเคลมสินไหมทดแทนว่าอยู่ในขั้นตอนใด เช่น การรับเอกสารการเคลม การตรวจสอบเอกสารการเคลม การประเมินราคา การจัดซ่อม การส่งมอบรถ การอนุมัติค่าสินไหมทดแทน และการโอนค่าสินไหมทดแทน เป็นต้น สำหรับตัวแทนและนายหน้าซึ่งเป็นคู่ค้าของบริษัทฯ จะสามารถตรวจสอบสถานะดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วผ่านช่องทาง Web Partner และเตรียมขยายช่องทางให้บริการลูกค้าและคู่ค้าผ่านช่องทาง Mobile Application อีกด้วย
ด้านการยกระดับคุณภาพการบริการของอู่ซ่อมในสัญญา เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถสร้างความประทับใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะอู่ซ่อมในสัญญานับเป็นหนึ่งใน Supply Chain ที่สำคัญของธุรกิจประกันภัย อีกทั้งปัจจุบันกรุงเทพประกันภัยยังมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรถยนต์สูงกว่า 44% บริษัทฯ จึงส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยได้จัดส่งทีมวิศวกรสำรวจภัยที่มีความเชี่ยวชาญเข้าสำรวจความเสี่ยงภัยของอู่ซ่อมในสัญญา เพื่อให้ข้อเสนอแนะแก่อู่ซ่อมให้มีการปรับปรุงเพื่อลดความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้น พร้อมส่งเสริมให้มีการปรับปรุงมาตรฐานและลดการปฏิบัติงานที่อาจสร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนรอบข้าง เช่น การจัดการของเสียอย่างเหมาะสม การจัดทำแผนฉุกเฉินกรณีเกิดการรั่วไหลของสารเคมี การมีระบบบำบัดน้ำเสีย การควบคุมมลพิษทางเสียงและมลพิษทางอากาศที่อาจเกิดจากพ่นสีหรือซ่อมเครื่องยนต์ ตลอดจนให้ความรู้ผ่านกิจกรรม “ความปลอดภัยเริ่มที่ตัวเรา” โดยจัดอบรมให้ความรู้แก่ลูกค้า คู่ค้า รวมถึงอู่ซ่อมในสัญญาให้มีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัยในสถานประกอบการ รวมถึงการจัดการด้านมลพิษ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนาการให้บริการของอู่ซ่อมในสัญญาด้วยการจัดส่งคะแนนผลสำรวจความพึงพอใจและข้อเสนอแนะจากลูกค้าแก่อู่ซ่อมในสัญญาเป็นประจำทุกเดือน พร้อมกำหนดเกณฑ์และมาตรการที่จะนำไปปรับปรุงงานซ่อมรถยนต์ร่วมกัน โดยหลังจากได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 มีผลตอบรับที่ดีและอู่ซ่อมสามารถเพิ่มคะแนนความพึงพอใจจากลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ยุคใหม่และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พร้อมความมุ่งมั่นเพื่อยกระดับการบริการที่มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย เเละสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าเเละคู่ค้า ส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตเเละมีผลการดำเนินงานที่ดี อย่างไรก็ตามธุรกิจประกันวินาศภัยยังต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน อาทิ การลงทุนภาครัฐที่ชะลอตัว ค่าเงินที่มีความผันผวนสูง กำลังซื้อของผู้บริโภคที่หดตัวจากภาวะหนี้สินครัวเรือน ปัญหาภัยธรรมชาติ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ
ด้าน นางสาวลสา โสภณพนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวถึงทิศทางภาพรวมตลาดการประกันภัยต่อในปี 2568 โดยคาดการณ์ว่าจะมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นจากปัจจัยของผลประกอบการของบริษัทรับประกันภัยต่อ (Reinsurer) ได้รับผลกำไรจากการดำเนินงานรับประกันภัยต่อมากขึ้น เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการปรับเบี้ยประกันภัยต่อ (Reinsurance Pricing) เพิ่มสูงขึ้นมาก จากการที่ Reinsurer ทั่วโลกประสบภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่องจากความเสียหายจากมหันตภัยในหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งปัจจัยด้านเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมากในยุโรป ทำให้ต้นทุนในการดำเนินงานของ Reinsurer เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น Reinsurer จึงต้องการผลกำไรมากขึ้น ส่งผลให้มีการปรับเพิ่มอัตราเบี้ยประกันภัยต่อโดยเฉพาะในปี 2566 ที่มีสภาวะตลาดเป็น Hardening Market ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2566-2567 แต่ขนาดของความเสียหายโดยรวมยังอยู่ภายใต้การประมาณการ อีกทั้ง Reinsurer ยังมีผลตอบแทนที่สูงจากการลงทุนในพันธบัตรและตลาดทุนโดยเฉพาะการลงทุนในสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทรับประกันภัยต่อยังสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ปริมาณเงินกองทุนของบริษัทประกันภัยต่อเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นจากผลกำไรที่มากขึ้น
อีกทั้งปัจจัยจากปริมาณเงินกองทุนที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทรับประกันภัยต่อส่วนใหญ่ต้องขยายงานเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าการต่อสัญญาประกันภัยต่อของบริษัทรับประกันภัยในปี 2568 ในสถานะที่เป็นผู้ซื้อความคุ้มครองจากสัญญาประกันภัยต่อในปีนี้ จะสามารถได้รับอัตราเบี้ยประกันภัยต่อใกล้เคียงกับปี 2567 แต่จะไม่ลดลงไปจากเดิม เนื่องจากสถานการณ์ของภัยธรรมชาติยังคงมีความเปราะบางสูง
นางสาวปวีณา จูชวน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ผลักดันให้มีนโยบายและกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG: Environmental, Social and Governance) ผ่านผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง พร้อมส่งเสริมสนับสนุนให้ลูกค้าและคู่ค้าของบริษัทฯ มีส่วนร่วมในการช่วยให้สังคมและสิ่งแวดล้อมดีขึ้น ดังนี้
• การออกกรมธรรม์ประกันภัยบ้านอยู่อาศัย Green Guarantee หากลูกค้ากรมธรรม์ประกันอัคคีภัยบ้านอยู่อาศัยเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือวัสดุ Green ในการซ่อมแซมบ้านอยู่อาศัย บริษัทฯ จะอนุมัติค่าสินไหมทดแทนเพิ่มให้ตามจริง ไม่เกิน 10% ของวงเงินที่อนุมัติให้ในครั้งแรก โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2567
• การเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าสามารถบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลแทนการรับของสมนาคุณ โดยให้ลูกค้าที่ซื้อประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลผ่านเว็บไซต์ของบริษัทฯ สามารถเลือกเปลี่ยน Gift Voucher หรือของสมนาคุณที่ได้รับเป็นเงินบริจาคแก่องค์กรการกุศลได้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567
• การส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการบริจาค โดยจะหักค่าเบี้ยประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลและประกันภัยสุขภาพส่วนหนึ่งเพื่อมอบให้แก่องค์กรการกุศล ซึ่งจะเริ่มให้ลูกค้าที่ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยโรคมะเร็งกับบริษัทฯ โดยตรง หรือผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารกรุงเทพ มีส่วนร่วมในการบริจาคเงิน 50 บาทต่อกรมธรรม์ ให้แก่องค์กรการกุศล โดยไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2568
• การลดใช้กระดาษเพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการจัดส่งกรมธรรม์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Policy) โดยบริษัทฯ ได้รณรงค์สนับสนุนการใช้ e-Policy อย่างต่อเนื่อง พร้อมจะขยายให้ครอบคลุมประกันภัยทุกประเภท และในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้าจัดส่ง e-Policy ที่ 1.07 แสนกรมธรรม์ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษรวมเกือบ 2 ล้านแผ่น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการจัดกิจกรรมภายในที่ให้ความสำคัญด้าน ESG และสร้างการตระหนักรู้ของพนักงาน เช่น โครงการเปลี่ยนเสื้อเก่าเป็นเสื้อใหม่ ใส่ใจสิ่งเเวดล้อม เพื่อโลกที่ยั่งยืนของเรา ซึ่งพนักงานได้มีส่วนร่วมในการบริจาคเสื้อโปโลและเสื้อคอกลมที่ไม่ใช้งานเเล้วกว่า 500 กิโลกรัม นำมาผ่านกระบวนการรีไซเคิลผลิตเป็นเสื้อยืดรุ่นใหม่ของบริษัทฯ ได้กว่า 2,000 ตัว โดยเป็นการช่วยลดการใช้ทรัพยากร ลดปริมาณขยะ ตลอดจนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะเดียวกันบริษัทฯ ได้จัดโครงการเปลี่ยนขยะเศษอาหารเป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยรวบรวมขยะเศษอาหารจากการรับประทานอาหารกลางวันของพนักงานนำมาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งได้นำไปบำรุงต้นไม้ในบริเวณโดยรอบอาคารกรุงเทพประกันภัย รวมถึงแจกจ่ายให้แก่พนักงานที่สนใจ
ปี 2567 นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญในการเสริมสร้างความสำเร็จและขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ผ่านการฟื้นฟูยกระดับสร้างมูลค่าเพิ่มในทุกกระบวนการอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อยกระดับองค์กรให้แข็งแกร่งและเดินหน้าสู่ความยั่งยืนในระยะยาว
ด้านนายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงมุมมองเศรษฐกิจในปี 2568 ว่า การเติบโตอาจใกล้เคียงกับปีนี้ โดย GDP น่าจะต่ำกว่า 3% และการที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะเข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือน ม.ค. ก็จะมีการดำเนินนโยบายการขึ้นภาษีขาเข้ากับทางจีน และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ทำให้สินค้าทุกอย่างแพงขึ้น และเมื่อสินค้าที่ขายให้สหรัฐในตลาดเดิมไม่ได้แล้ว จะทำให้เกิดสินค้าที่ทะลักเข้ามาในฝั่งเอเชีย รวมถึงประเทศไทยที่กำลังซื้อที่ไม่ได้สูงมากนัก อีกทั้งตลาดส่งออกยังต้องแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกอีกด้วยเพื่อช่วงชิงช่องว่างของสินค้าจีนในตลาดสหรัฐที่หายไป
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตร หรือ Bond Yield ทั่วโลกจะลดลง เพราะธนาคารกลางแต่ละประเทศมีทิศทางการลดดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐ อย่างไรก็ตาม พันธบัตรสหรัฐคาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าไทย เพราะแม้เงินเฟ้อของสหรัฐจะอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้แล้ว แต่ทรัมป์อาจจะไม่ลดผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐลง เพราะเขามีความต้องการให้ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ถือเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเอาไว้ โดยไทยจะอยู่ในอัตรา 2.5-2.7% ส่วนสหรัฐจะอยู่ที่ประมาณ 4% นอกจากนี้หากไทยไปซื้อพันธบัตรต่างประเทศเพื่อเก็งกำไรก็จะเผชิญปัญหากับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน
ในสถานการณ์ตลาดทุนของไทย ดัชนี SET Index คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,450 -1,460 จุด ไม่สูงมากกว่านี้มากนัก เพราะผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังไม่ค่อยดีมากนัก ประกอบกับกำลังซื้อประเทศไทยที่อยู่ในระดับต่ำมาก และความเปราะบางในกลุ่มผู้ประกอบการ SME ที่สัมพันธ์กับการจ้างงานในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับภาพรวมอุตสาหกรรมของประเทศ ฉะนั้นที่พึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคงต้องเน้นไปที่การส่งออก โดยเฉพาะอาหารและผลผลิตทางการเกษตร (ที่ไทยเป็น 1 ในผู้ผลิตที่สำคัญของโลก) ซึ่งถ้าสินค้าส่งออกเติบโต จะทำให้มีเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ และทำให้ SME ในหมวด Supply Chain ดังกล่าวนั้นมีการเติบโต ส่วนภาคการส่งออกในอุตสาหกรรมอื่น หากไม่สามารถแข่งขันได้ ก็อาจจะได้เห็นภาพการทรุดตัวของธุรกิจนั้น ๆ ได้ ส่งผลเสียต่อไปยังอัตราการจ้างงานที่ลดลง แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีแนวทางลดดอกเบี้ยเพื่อลดต้นทุนการบริหารจัดการก็ตาม
ส่วนเรื่องสัดส่วนของพอร์ตการลงทุน นายชัยได้กล่าวว่า หมวดหุ้นที่น่าลงทุน คือ ธุรกิจท่องเที่ยว เพราะว่าจำนวนนักท่องเที่ยวมีทิศทางเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้นธุรกิจอาหาร โรงแรม ร้านค้าปลีกจะมีการเติบโตขึ้น ด้านธุรกิจโรงพยาบาลก็ยังได้รับอานิสงส์จากที่ต่างประเทศเข้ามารักษาในไทยเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ส่วนธุรกิจที่เกี่ยวกับน้ำมัน ยังเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนจากสภาวะสงคราม โดยหากสงครามยุติ ก็จะเป็นผลเสียต่อธุรกิจได้เช่นกัน (จากที่มีการซื้อน้ำมันในราคาสูงกว่าเก็บเอาไว้) จึงคาดว่าธุรกิจดังกล่าวอาจเผชิญกับการขาดทุนไปอย่างน้อยอีก 6 เดือนต่อจากนี้
ข่าวเด่น