เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล อินโนเวสท์วิเคราะห์ "มีปัจจัยกดดัน แต่ลุ้นฟื้นตามแนวรับ"



คาด SET ได้รับ Sentiment ลบ หลังทรัมป์เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนนาดา เม็กซิโก และจีน ด้านรายงานประชุมเฟดระบุจะลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ตลาดมองเดือนธ.ค. มีโอกาสคงดอกเบี้ยไว้ก่อน เป็นปัจจัยกดดันดัชนี โดยมีแนวรับที่ 1430 และ 1425 จุด ตามลำดับ เป็นจุดลุ้นฟื้นตัว ด้านแนวต้านอยู่ที่ 1445-1455 จุด

ประเด็นสำคัญ

• นายกฯ อิสราเอลเผยสามารถบรรลุข้อตกลงการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่มีสหรัฐฯ และฝรั่งเศสเป็นตัวกลางแล้ว มีผลตั้งแต่วันนี้และอิสราเอลจะทยอยถอนกำลังภายใน 60 วัน

• ว่าที่ปธน. ทรัมป์ประกาศจะปรับขึ้นภาษีศุลกากรอีก 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และ 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากแคนนาดาและเม็กซิโกในวันแรกของการทำงาน (20 ม.ค. 68) ซึ่งตลาดมองต่ำกว่าที่ทรัมป์เคยขู่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 60%

• นายกฯ สั่งกพช. เร่งปรับปรุงหลักเกณฑ์การคัดเลือกและการรับซื้อพลังงานสะอาดโดยเร็ว โดยเฉพาะการขายพลังงานโดยตรง (Direct PPA) ให้สามารถแข่งขันได้กับประเทศเพื่อนบ้านได้ 

• ธปท. เผยภาพรวมสินเชื่อธพ. ใน 3Q67 พลิกหดตัว 2% ครั้งแรกที่ติดลบในรอบ 14 ปี เหตุภาครัฐ-ธุรกิจคืนหนี้พุ่ง สินเชื่อปล่อยใหม่ชะลอตัว ธุรกิจถูกกระทบจากสงครามการค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ด้านหนี้เสียเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มมาอยู่ที่ 2.97% จากคุณภาพหนี้ด้อยลง 

• สนค. เผยส่งออกไทยเดือนต.ค. +14.6% แตะ 2.72 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงสุดรอบ 19 เดือน ส่วนนำเข้า +15.9% แตะ 2.80 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้ขาดดุลการค้า 794 ล้านดอลลาร์ และปรับเป้าส่งออกปีนี้เป็น 4% 

• รมว. ท่องเที่ยวฯ เผยไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมในปีนี้รวม 31.3 ล้านคน สร้างรายได้ราว 1.47 ล้านลบ. โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย

• วานนี้กลต. กล่าวโทษ 29 รายต่อ DSI และปปง. กรณีสร้างราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขาย DPAINT เรามองเป็น Sentiment เชิงลบต่อบรรยากาศการลงทุนและความเชื่อมั่นด้าน ESG

• ตลท. ประกาศเพิ่มเครื่องหมายเตือนนักลงทุนที่อาจมีความเสี่ยงต่อฐานะการเงินและการดำเนินธุรกิจให้ครอบคลุมทรัสต์และ PFNREIT และปรับปรุงคุณสมบัติ บจ. ย้ายกลับจากเหตุเพิกถอน โดยพิจารณากำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุดและส่วนของผู้ถือหุ้น

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ ทั้งนี้ปัจจัยต่างประเทศยังค่อนข้างจำกัด โดยตลาดคาดดัชนี PCE ต.ค. ของสหรัฐฯ จะทรงตัวใกล้เคียงกับ ก.ย. ที่ระดับ 0.2%MoM และดัชนี PMI ภาคการผลิต พ.ย. ของจีนจะขยายตัวเล็กน้อยหรือใกล้เคียง ต.ค. ที่ระดับ 50.1 ส่วนกระแสเงินทุนคาดยังมีแนวโน้มไหลออกต่อเนื่องจากตลาดหุ้น EM รวมทั้งไทยและจีน สืบเนื่องมาจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์และความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของทรัมป์ ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังอยู่ในช่วง บจ. ให้แนวโน้มผลประกอบการ 4Q67 และปี 2568 พร้อมรอติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์

ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบหลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ โดย Fund Flow ยังมีแนวโน้มไหลออกจากตลาดหุ้น EM และในประเทศยังอยู่ในช่วง บจ. ให้แนวโน้มผลประกอบการและรอมาตรการกระตุ้นศก. เพิ่มเติมของรัฐ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้ 

1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค, ท่องเที่ยว และมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนของภาครัฐ แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CPAXT CRC HMPRO TNP) กลุ่มท่องเที่ยว (AWC AOT MINT) และกลุ่มธนาคาร (BBL)

2. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองมีโมเมนตัมกำไร 4Q67 จะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก GULF OSP CBG AMATA AU TIDLOR BCP 

3. หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี แนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Div. Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% และมี ESG Ratings และ CG สูง อีกทั้งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก BBL ADVANC HMPRO

4. สำหรับนักลงทุนที่ยังกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางและต้องการหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP

DAILY TOP PICKS

CPAXT: 4Q67 คาดกำไรจะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ โดยจะเพิ่มขึ้น YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น และ QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ปี 2567 คาดกำไรเติบโต 24.6%YoY และจะเติบโตต่อดีที่สุดในกลุ่ม 19%YoY ในปี 2568 (เทียบกับกลุ่มเติบโตเฉลี่ย 15%YoY) ทั้งนี้หลังควบรวมกิจการคาด Synergy จะเริ่มมีให้เห็นใน 4Q67 และชัดเจนมากขึ้นในปี 2568-2570

AOT: เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นของเราในกลุ่มท่องเที่ยว โดยกำไรจะมีแนวโน้มเติบโตสดใสตามจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยปี FY2568 คาดกำไรจะเติบโต 18%YoY อิงจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่ 84 ล้านคน เติบโต 15%YoY ซึ่ง 1QFY68 คาดกำไรจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากเข้าสู่ High Season ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 27 พ.ย. 2567 เวลา : 11:50:25
27-12-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 27, 2024, 4:49 am