เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล อินโนเวสท์วิเคราะห์ "ยังลุ้นรีบาวด์ หากผ่าน 1435 ได้ดี"


คาด SET ยังมีโอกาสรีบาวด์ได้จากภาวะ Oversold ทางเทคนิค โดยติดตามแนวรับบริเวณ 1422 และ 1410 จุด ตามลำดับ ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1435 จุด หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะเห็นภาพการฟื้นตัวชัดขึ้น โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1440 จุด ประเด็นติดตามประชุมครม. สัญจร และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนปิดทำการ และวันนี้เปิดครึ่งวัน เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า

ประเด็นสำคัญ

• ม.หอการค้าไทยคาด GDP ของไทยในปี 2568 เติบโต 3% โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญจากการใช้จ่ายภาครัฐ การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน ส่งออก และท่องเที่ยว รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพ

• ส.อ.ท. เผยอุตสาหกรรมยานยนต์ปีนี้ตกต่ำสุดในรอบ 15 ปี โดยปรับลดเป้าผลิตแล้ว 2 ครั้งๆ จากต้นปี 1.9 ล้านคัน เหลือ 1.7 ล้านคันเมื่อช่วงกลางปี และล่าสุดเหลือ 1.5 ล้านคัน ส่วนปี 2568 มองยังซบเซาต่อเนื่อง หากไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ

• ส.อ.ท. เสนอต่อนายกฯ ให้จัดตั้งกองทุนชดเชนการขาดทุนสินเชื่อมูลค่า 5 พันลบ. เพื่อชดเชยสินเชื่อให้มากที่สุดไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อคน เชื่อจะช่วยหนุนยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 1 แสนคัน

• Salesforce เผยยอดขายออนไลน์ในช่วงครึ่งแรกของวันหยุดเนื่องในวัน Thanksgiving เพิ่มขึ้นประมาณ 4%YoY ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วที่เพิ่มขึ้นเพียง 2%YoY ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าผู้บริโภคให้ความสนใจโปรโมชันลดราคาสินค้าจากบรรดาบริษัทค้าปลีก

• OPEC+ ยืนยันเลื่อนการประชุมระดับรัฐมนตรีเป็นวันที่ 5 ธ.ค. จากเดิมกำหนดไว้ในวันที่ 1 ธ.ค. เพื่อกำหนดนโยบายการผลิตน้ำมัน คาดจะมีมติเลื่อนแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันออกไปเป็นเดือนก.พ. 2568 ท่ามกลางความกังวลอุปสงค์ที่ซบเซาในตลาด

• โตโยต้าเผยยอดผลิตรถยนต์ทั่วโลกเดือนต.ค. ปรับลง 0.8%YoY ลดลง 9 เดือนต่อเนื่อง และนิสสันมอเตอร์เผยยอดผลิตรถยนต์ทั่วโลก ต.ค. ปรับลง 6%YoY ลดลง 5 เดือนติดต่อกัน แรงกดดันจากการผลิตในสหรัฐฯ และจีนที่ลดลง

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ ทั้งนี้ปัจจัยต่างประเทศยังค่อนข้างจำกัด ส่วนกระแสเงินทุนคาดยังมีแนวโน้มไหลออกต่อเนื่องจากตลาดหุ้น EM รวมทั้งไทยและจีน สืบเนื่องมาจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์และความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของทรัมป์ ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังอยู่ในช่วง บจ. ให้แนวโน้มผลประกอบการ 4Q67 และปี 2568 พร้อมรอติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์

ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบหลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ โดย Fund Flow ยังมีแนวโน้มไหลออกจากตลาดหุ้น EM และในประเทศยังอยู่ในช่วง บจ. ให้แนวโน้มผลประกอบการและรอมาตรการกระตุ้นศก. เพิ่มเติมของรัฐ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้ 

1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค, ท่องเที่ยว และมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนของภาครัฐ แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CPAXT CRC HMPRO TNP) กลุ่มท่องเที่ยว (AWC AOT MINT) และกลุ่มธนาคาร (BBL)

2. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองมีโมเมนตัมกำไร 4Q67 จะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก GULF OSP CBG AMATA AU TIDLOR BCP 

3. หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี แนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Div. Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% และมี ESG Ratings และ CG สูง อีกทั้งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก BBL ADVANC HMPRO

4. สำหรับนักลงทุนที่ยังกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางและต้องการหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP

DAILY TOP PICKS

BCH: 4Q67 มองเป็นไตรมาสสุดท้ายที่มีความกังวลเกี่ยวกับงบประมาณ SC ไม่เพียงพอ และปี 2568 คาดจะรายงานกำไรปกติเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 19%YoY ขณะที่มอง risk/reward น่าสนใจในการเข้าซื้อสะสม หลังช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลง 7% จนทำให้เทรด PER 68F ที่ 22 เท่า ใกล้กับระดับ -2SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต

BBL: เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร โดยมองมีปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจาก 1) Valuation ถูกที่สุด 2) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุด และ 3) สินเชื่อมีแนวโน้มเติบโตสูงที่สุด โดยคาดสินเชื่อจะฟื้นตัวเติบโตได้ดีใน 4Q67 ซึ่งล่าสุด ต.ค. สินเชื่อเติบโตแข็งแกร่งที่สุดที่ 1.4%MoM แรงหนุนจากสินเชื่อกิจการต่างประเทศและสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่  
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 29 พ.ย. 2567 เวลา : 11:17:15
27-12-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 27, 2024, 5:42 am