SET มีสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค และคาดมีแรงชื้อจากเม็ดเงินของกองทุนประหยัดภาษี ซึ่งจะมีเข้ามามากในช่วงปลายปีเป็นปัจจัยหนุนให้ดัชนีฟื้นตัวได้ต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1445-1450 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1422-1430 จุด คาดยังรองรับได้ ประเด็นสำคัญ ติดตามถ้อยแถลงประธานเฟดวันพรุ่งนี้ เพื่อหาสัญญาณในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. จะมีการลดดอกเบี้ยต่อหรือไม่
ประเด็นสำคัญ
• กระทรวงพาณิชย์คาดในปี 2568 ปริมาณส่งออกเนื้อไก่โลกจะเพิ่มขึ้นทำระดับสูงสุดในประวัติการณ์ โดยจะเติบโต 2% เป็น 13.8 ล้านตัน สำหรับไทยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่ของโลกการส่งออกเนื้อไก่เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ต้องเฝ้าระวังการขยายการส่งออกของบราซิล
• ก.ล.ต. มีแนวคิดปรับปรุงหลักเกณฑ์โฆษณาของผู้ให้บริการ ICO Portal และ ICO Issuer ส่วนคำเตือนความเสี่ยงการลงทุนโทเคนดิจิทัลให้เหมาะสม เป็นมาตรฐานเดียวกัน มีผลใช้บังคับวันที่ 16 ธ.ค. 2567
• ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตจีนโดยสถาบินไฉซินเดือนพ.ย. ปรับขึ้นสู่ระดับ 50.3 ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 5 เดือน หนุนจากคำสั่งซื้อใหม่และคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่แข็งแกร่ง
• ISM เผยดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ เดือนพ.ย. ปรับขึ้นสู่ระดับ 48.4 จาก 46.5 ในเดือนต.ค. เป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ด้าน S&P เผยดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ เดือนพ.ย. ปรับขึ้นสู่ 49.7 จาก 48.5 ในเดือนต.ค. เป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8
• กยท. เผยสถานการณ์ผลผลิตยางออกสู่ตลาดลดลง คาดยางหายจากระบบตลาดกว่า 3 แสนตัน จากฝนตกหนักต่อเนื่องและอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ เป็น Sentiment บวกระยะสั้นต่อการเก็งกำไรหุ้นกลุ่มยาง (STA NER TRUBB) จากราคายางที่ปรับขึ้น
• แอฟริกาใต้ปฏิเสธแผนการสร้างสกุลเงินใหม่ของ BRICS แต่จะมุ่งเน้นไปที่การใช้สกุลเงินของสมาชิกสำหรับการค้ามากกว่าการใช้ดอลลาร์
• กระทรวงต่างประเทศจีนเตือนสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังอนุญาตปธน. ไต้หวัน ไล่ ชิงเต๋อ เดินทางเยือนมลรัฐฮาวาย จีนอาจโต้โตอบโดยใช้กองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ซ้อมรบใกล้เกาะไต้หวันถี่มากขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะยังเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways ในกรอบ โดยมีแนวรับเชิงจิตวิทยาที่บริเวณ 1400 จุด และตลาดจะมีการรีบาวน์เป็นระยะๆ เป็นผลสืบเนื่องจากปัจจัยต่างประเทศยังค่อนข้างจำกัด โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัว ขณะที่ภาคการค้าระหว่างประเทศของจีนยังมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่วนปัจจัยในประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่ๆ เข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน และยังติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideways โดย Fund Flow ยังมีแนวโน้มไหลออกจาก EM หลังกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าและในประเทศยังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยว แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CPAXT CRC HMPRO TNP) และท่องเที่ยว (AWC AOT MINT)
2. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองมีโมเมนตัมกำไร 4Q67 จะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก GULF OSP AMATA AU TIDLOR BCP
3. หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนลดหย่อนภาษี แนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Div. Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5%, มี ESG Rating และ CG สูง, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก BBL ADVANC HMPRO
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่คาดมีโอกาสเข้าคำนวณ SET50 ใน 1H68 BANPU CCET COM7 SAWAD รวมทั้งหุ้นที่ได้อานิสงส์จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ แนะนำ HMPRO CPALL และ TASCO ขณะที่ระมัดระวังการลงทุนหุ้นกลุ่มการแพทย์, ยานยนต์ และวัสดุก่อสร้างที่กำไร 4Q67 มีโมเมนตัมอ่อนแอ
DAILY TOP PICKS
AWC: หนึ่งในหุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยว โดย 4Q67 คาดกำไรปกติเติบโต YoY และ QoQ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจท่องเที่ยวไทย ขณะที่ปี 2567 คาดมีกำไรปกติเติบโต 57%YoY และเติบโตต่ออีก 23%YoY ในปี 2568 ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งสุดในกลุ่ม หนุนจากการดำเนินงานโรงแรมที่ดีขึ้นตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่เติบโต
HMPRO: เป็นหุ้นที่ได้อานิสงส์หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ ขณะที่ 4Q67 คาดกำไรปกติจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้งปัจจุบัน Valuation ยังน่าสนใจ โดยซื้อขายที่ PER 67F ที่ระดับ 20 เท่า ต่ำกว่า -2S.D. จากค่าเฉลี่ย PER 10 ปีย้อนหลังที่ 22 เท่า
ข่าวเด่น