
เงินเฟ้อสหรัฐฯ ประจำเดือนพ.ย. ออกมาตามคาด ทำให้ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้าวันที่ 17-18 ธ.ค. มองจะเป็นปัจจัยหนุน SET หลังพักตัวมาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีจุดติดตามอยู่ที่แนวต้าน 1455-1460 จุด หากขึ้นทะลุผ่าน จะเป็นสัญญาณบวก ด้านแนวรับอยู่ที่ 1440 และ 1430 จุด ตามลำดับ คาดว่ายังเป็นจุดรองรับได้
ประเด็นสำคัญ
• กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผย CPI เดือนพ.ย. ปรับขึ้น 2.7%YoY เป็นไปตามที่ตลาดคาดและสูงกว่าเดือนก่อนที่ 2.6%YoY ส่วน Core CPI ปรับขึ้น 3.3%YoY เป็นไปตามที่ตลาดคาดเช่นกันและทรงตัวจากเดือนก่อน
• EIA เผยปริมาณสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ในสัปดาห์ก่อนลดลง 1.43 ล้านบาร์เรล ลดลงมากกว่าที่คาดและลดลงเป็นสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน
• ผู้กำหนดนโยบายของจีนกำลังพิจารณาเปิดโอกาสให้เงินหยวนอ่อนค่าลงในปี 2568 เพื่อรับมือกับการขึ้นภาษีศุลกากรจากการหวนคืนสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ของโดนัลด์ ทรัมป์
• OPEC ลดประมาณการอุปสงค์น้ำมันโลกปีนี้ลงเป็นเดือนที่ห้าติดต่อกันเหลือ 1.61 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่ 1.82 ล้านบาร์เรลต่อวัน และลดประมาณการปีหน้าลงเหลือ 1.45 ล้านบาร์เรลต่อวันจากเดิมที่ 1.54 ล้านบาร์เรลต่อวัน กดดันจากข้อมูลการบริโภคในจีนและอินเดียที่อ่อนแอ
• ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ขึ้นเป็น 2.6% จาก 2.3% ส่วนในปี 2568 ยังคงประมาณการเดิมที่ 2.7%
• ครม. อนุมัติมาตรการแก้หนี้ลูกหนี้รายย่อยและ SME และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอื่น ๆ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ตามที่คลังเสนอ เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม
• ครม. อนุมัติยกเว้นภาษีเงินได้จากการจัดอบรมสัมมนาและเที่ยวเมืองรอง หนุนการท่องเที่ยวในประเทศ และอนุมัติ พ.ร.ก. 2 ฉบับ เปิดทางไทยเก็บภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% ตามแนวทาง OECD
• วันนี้ติดตามบอร์ดไตรภาคีชุดใหม่จะมีการประชุมเพื่อหาข้อสรุปในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นของขวัญปีใหม่ จากนั้นจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้าและคาดจะมีผลทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยมีแนวรับที่บริเวณ 1440-1450 จุด ทั้งนี้ Upside ของตลาดคาดจะอยู่ที่มาตรการแก้หนี้ครัวเรือนและช่วยเหลือเกษตรกรของไทย รวมทั้งเงินเฟ้อของสหรัฐ โดยปัจจัยในประเทศยังค่อนข้างจำกัด แต่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐและจีน รวมทั้งท่าทีของ ECB น่าจะมีผลต่อแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยในระยะถัดไป โดยตลาดคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐจะมีแนวโน้มทรงตัว ส่วนการประชุมนโยบายการเงินของ ECB คาดจะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม ขณะที่ยังต้องติดตามนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยปัจจัยในประเทศยังค่อนข้างจำกัด ขณะที่ยังต้องติดตามนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยว แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ CPALL CPAXT CRC HMPRO TNP และกลุ่มท่องเที่ยว AWC AOT MINT
2. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองมีโมเมนตัมกำไร 4Q67 จะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก GULF OSP AMATA AU TIDLOR BCP
3. หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี อาทิ SSF RMF และ THAIESG แนะนำหุ้น SET100 ที่คาดให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% และมี ESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ AA-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว อีกทั้งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก BBL ADVANC HMPRO
4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่ Laggard ซึ่งมีเทคนิคมีแนวโน้มฟื้นตัว อาทิ BEM BDMS MINT AP/หุ้นที่คาดมีโอกาสเข้าคำนวณ SET50 ในงวด 1H68 อาทิ BANPU, CCET, COM7/หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์น้ำท่วมใต้ แนะนำ HMPRO CPALL และ TASCO ขณะที่ระมัดระวังการลงทุนสำหรับหุ้นกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่โมเมนตัมกำไร 4Q67 ยังอ่อนแอ
DAILY TOP PICKS
CPALL : 4Q67 คาดจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากเข้าสู่ High Season และยอดขายสาขาเดิมยังเติบโตแข็งแกร่ง อีกทั้งมาร์จิ้นยังกว้างขึ้นต่อเนื่องจากกมียอดขายสินค้ามาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น ขณะที่มาตรการกระตุ้น ศก. เพิ่มเติมของรัฐบาลและการปรับลดดอกเบี้ยจะเพิ่ม Upside ให้กับประมาณการ
MINT : คาดผลประกอบการ 4Q24 ยังโตได้ดี YoY หนุนจากธุรกิจโรงแรมทั้งในในยุโรป และโรงแรมในประเทศไทยที่เป็นช่วง High Season ธุรกิจอาหารเพิ่มเติบโตได้ตาม SSS ที่ 2% ในเดือน ต.ค. MINT อยู่ระหว่างเตรียมออกกอง REIT ขนาด 4.1 หมื่นล้านบาท ช่วยเพิ่มศักยภาพของฐานะทางการเงินโดย Net Debt Equity จะลดลงมาอยู่ที่ 0.8x จาก 1.0x จากการชำระคืนหนี้ และสร้างโอกาสลงทุนเพิ่มเติม Valuation ไม่แพงอยู่ที่ระดับ -2SD
ข่าวเด่น