เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล อินโนเวสท์วิเคราะห์ "ทิศทางยังเป็นลบ รอสัญญาณกลับตัว"


SET ไร้แรงรับ มีแต่แรงขาย กดดันดัชนีหลุด 1400 จุด สร้างสัญญาณลบทางเทคนิค และยังไม่แสดงสัญญาณกลับตัว โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1387 และ 1375 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1400-1410 จุด ประเด็นสำคัญ ติดตามประชุมกนง. วันนี้ หากมีการลดดอกเบี้ยจะเป็นแรงหนุนต่อดัชนีได้ และติดตามผลประชุมเฟดในคืนนี้

ประเด็นสำคัญ

• กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. ขยายตัว 0.7%MoM สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้และเร่งตัวขึ้นจากเดือนต.ค.

• แหล่งข่าว Reuters เผยในสัปดาห์ก่อนคณะผู้นำจีนได้มีมติคงเป้าหมายการขยายตัวเศรษฐกิจจีนปี 2568 ที่ 5% และจะปรับนโยบายการคลังเชิงรุกมากขึ้น โดยเพิ่มการขาดดุลงบประมาณขึ้น 1pp เป็น 4% ของ GDP หรือราว 1.3 ล้านล้านหยวน และได้รับการตอบรับจากที่ดีในการประชุม CEWC แต่ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ

• ครม. เห็นชอบการกำหนดเขตพื้นที่ใน EEC ระยองสำหรับอนุญาตให้จัดตั้งสถานบริการครบวงจร 2,662 ไร่ และอนุมัติร่างกฎหมายเวนคืนอสังหาฯ สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรีภายใน 4 ปี

• ครม. อนุมัติร่างกฎกระทรวงในพ.ร.บ. โรงงานยกเว้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ให้ไม่ต้องขออนุญาต เพื่อสนับสนุนเอกชนรายย่อยสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้

• รมว. ท่องเที่ยวฯ เผยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยสะสมในปีนี้ แตะ 33.4 ล้านคน เติบโต 27%YoY ทั้งจากนักท่องเที่ยวระยะใกล้และนักท่องเที่ยวระยะไกลที่กลับมาเร่งตัวอีกครั้ง

• สมาคมโรงแรมไทยเสนอรัฐบาลออก 5 มาตรการช่วยเหลือผ่านการกระตุ้นการท่องเที่ยว, ช่วยเหลือค่าใช้จ่าย, เพิ่มทักษะแรงงาน, สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และสิทธิ์ประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐาน

• กยท. ประเมินผลผลิตยางในเดือนธ.ค. จะหายไป 24.8% หรือ 1.4 แสนตัน จากฝนตกและอุทกภัยที่กระทบสวนยาง 5.5 ล้านไร่ใน 11 จังหวัด

• ติดตามบอร์ดกสทช. พิจารณารายงานการศึกษามาตรการเฉพาะกรณีการควบรวม TRUE-DTAC และ 3BB-AWN ที่ถูกเลื่อนเข้ามาพิจารณา

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวนและรอสัญญาณกลับตัวขึ้นไปยืนเหนือ 1400 จุด ทั้งนี้ Upside ของตลาดขึ้นกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ด้านตลาดหุ้นไทยติดตามการประชุม กนง. ที่ตลาดคาดจะคงดอกเบี้ยเป็นปัจจัยกดดันลาดในระยะสั้น อย่างไรก็ดีหาก กนง. ปรับลดดอกเบี้ยจะส่งผลให้ SET Index ปรับตัวขึ้นได้ราว 15-20 จุด รวมถึงการเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการซื้อกองทุนประหยัดภาษีที่มักเร่งตัวขึ้นในช่วงปลายปี ขณะที่ยังต้องติดตามนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์

ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดย Upside ของตลาดขึ้นกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและท่าทีของเฟด ส่วนปัจจัยในประเทศติดตามการประชุมกนง. กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้

1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงปลายปี อาทิ SSF และ RMF แนะนำลงทุนในหุ้น SET100 ซึ่งมีคุณสมบัติ คือ 1) จ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอ โดยให้ Div. Yield ขั้นต่ำปีละ 3% 2) เราให้คำแนะนำ Outperform และมี SETESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีความมั่นคงหรือมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 ได้แก่ ADVANC AP BBL BDMS HMPRO

2. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากรัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยวเพิ่มเติมในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CRC HMPRO TNP) และกลุ่มท่องเที่ยว (AWC AOT MINT) 

3. หุ้น Earning Play ซึ่งมองมีโมเมนตัมกำไร 4Q67 จะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก GULF OSP AMATA AU TIDLOR BCP 

4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์ดอกบี้ยขาลง แนะนำ 1) หุ้นกลุ่ม Reits (LHHOTEL FTREIT DIF) ซึ่งได้อานิสงส์บวกภายใต้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกำลังจะเปลี่ยนเป็นทิศทางเป็นขาลง 2) หุ้นกลุ่มค้าปลีก (CPALL) ซึ่งได้อานิสงส์จากประชาชนมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น (ดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง) และ 3) หุ้นธนาคาร (TISCO KKP) เพราะมีสัดส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อสูง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยคงที่/หุ้น Laggard ซึ่งมีเทคนิคมีแนวโน้มฟื้นตัว แนะนำ BEM BDMS MINT AP

DAILY TOP PICKS

CRC : คาดได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเกี่ยวกับการจับจ่ายเพื่อลดหน่อยภาษี ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดแล้วใน 3Q67 และ 4Q67 คาดจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยจะเพิ่มขึ้น QoQ ตามฤดูกาล และ YoY จากการขยายสาขาและการคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น หนุนให้ปี 2567 คาดกําไรจะยังเติบโต 7.8%YoY

FTREIT : ราคาปรับตัวลดลงมาแล้ว 4.5% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ Div. Yield ดูน่าสนใจมากขึ้นที่ 7.1% ในปี FY2567 และ 7.3% ในปี FY2568 นอกจากนี้ยังได้รับประโยชน์จากความต้องการพื้นที่อุตสาหกรรมในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยจากการพูดคุยกับผู้จัดการกอง REIT ยังไม่มีสัญญาณว่าลูกค้าจะชะลอการตัดสินใจหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 18 ธ.ค. 2567 เวลา : 12:10:28
23-12-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 23, 2024, 2:39 pm