
คาด SET ฟื้นตัว โดยได้ปัจจัยหนุนจากการแสดงวิสัยทัศน์ของนาย ทักษิณ ชินวัตร เพื่อการพัฒนาตลาดหุ้น และสร้างความเชื่อมั่นดึงดูดนักลงทุน รวมถึงตั้งเป้า GDP ปีนี้เติบโต เกิน 3% และปีหน้าที่ 4% โดย SET มีแนวต้านที่ 1370-1380 จุด อย่างไรก็ตาม ยังต้องระวังความผันผวนก่อนการเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ในวันจันทร์หน้า ด้านแนวรับอยู่ที่ 1340-1350 จุด
ประเด็นสำคัญ
• ครม. มีมติเห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ. Entertainment Complex ตามคลังเสนอ คาดจะนำเสนอทันการประชุมสภาฯ สมัยนี้ และอนุมัติหลักร่าง พ.ร.ฎ. เกี่ยวกับมาตรการภาษีส่งเสริมการลงทุนในเศรษฐกิจพิเศษ โดยลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 10% เป็นเวลา 10 รอบบัญชี
• ครม. มีมติเห็นชอบงบกลางฯ วงเงิน 160 ลบ. เพื่อศึกษาการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบสถานีรถไฟที่มีศักยภาพ (บ้านเพื่อคนไทย) ให้ผู้มีรายได้น้อย-จบใหม่ วันที่ 17 ม.ค. จะเปิดตัวบ้านตัวอย่างเป็นทางการ
• อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร แนะเร่งแก้ไขปัญหาความเชื่อมั่น, ให้ความสำคัญเรื่องธรรมาภิบาล, เสริมแกร่งหน่วยงานกำกับดูแล พร้อมชี้โอกาสทางศก. เช่น Entertainment Complex, การเช่าทรัพย์อิงสิทธิ์ 99 ปี, การลดต้นทุนไฟฟ้าเพื่อดึงดูดการลงทุน เป็นต้น
• BOI เผยยอดลงทุนปี 2567 เกิน 1.13 ล้านลบ. เพิ่ม 35% สูงสุดในรอบ 10 ปี ย้ำไทยฐานลงทุนสำคัญ ตั้งเป้า 2568 ลงทุนเติบโตต่อดึงดูดอุตฯ ในยุทธศาสตร์ เกิน 1 ล้านลบ. แก้อุปสรรคดันลงทุนรวม 5 ปี 5 ล้านลบ.
• FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนใน 3 เดือนข้างหน้า ปรับลงสู่เกณฑ์ซบเซาที่ระดับ 78.52 การฟื้นตัวศก. จะหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองมาคือ การไหลเข้าของเงินทุนและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว
• ม. หอการค้าไทยประเมินเศรษฐกิจปี 2568 ท้าทาย โดยมอง 1H68 จะขับเคลื่อนโดยการส่งออกซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนจะมีการปรับอัตราภาษี ขณะที่ 2H68 น่าเป็นห่วงหลังนโยบายการค้าสหรัฐฯ เริ่มมีผล แนะฟื้นโครงการคนละครึ่งกระตุ้นการใช้จ่าย
• การส่งออกจีน ธ.ค. 67 เติบโต 10.7%YoY สูงกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่การนำเข้าพลิกเติบโต 1.0%YoY ผิดจากที่ตลาดคาดว่าจะหดตัว
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวโดยมีแนวต้านที่บริเวณ 1400 จุด แม้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแย่กว่าภูมิภาคจากความกังวลเสถียรภาพการเมืองและ ESG ของบจ. รวมทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการส่งออกรถยนต์ที่คาดอ่อนแอลง แต่ยังมีความคาดหวังต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดค่าครองชีพในประเทศเพิ่มเติม รวมถึงการเริ่มต้นของมาตรการ Easy E-Receipt ตั้งแต่ 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568 จะช่วยกระตุ้นงบ 1Q68 ด้านปัจจัยต่างประเทศ ตลาดคาด GDP 4Q67 ของจีนจะเพิ่มขึ้น 5%YoY และเงินเฟ้อ ธ.ค. 2567 ของสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้น 2.9%YoY ทั้งนี้มองแนวโน้มการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนและการลดดอกเบี้ยของเฟดจะยังไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม อาจจะไม่กดดันลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้น แต่ Upside จำกัด โดยรอการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ และนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการ Easy E-Receipt ช่วงวันที่ 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568 และเงินหมื่นเฟส 2 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CBG OSP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT)
2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ต แนะนำ AP KTB BBL PTT
3. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก OSP AMATA AU TIDLOR BCP
4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรใน 1) หุ้นที่ได้ Sentiment บวกหากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น แผนดึงเม็ดเงินลงทุน ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน Entertainment Complex และลดค่าครองชีพ-เพิ่มกำลังซื้อ แนะนำ กลุ่มนิคมฯ (WHA AMATA) กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CRC) กลุ่มท่องเที่ยว (AOT AWC) และ 2) หุ้นที่ราคา Laggard (เทรด PER 2568F ต่ำกว่า -1SD) แต่ผลการดำเนินงานยังมีแนวโน้มเติบโตดี แนะนำ BTG BEM BDMS
DAILY TOP PICKS
BCP: 4Q67 คาดผลประกอบการจะฟื้นตัวเด่นทั้ง YoY และ QoQ จากค่าการกลั่นและราคาก๊าซในยุโรปที่เริ่มฟื้นตัว อีกทั้ง BCP ยังเป็นหุ้นปันผลสูงซึ่งสามารถสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตลงทุนได้ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 67 และปี 68 ราว 4.2% และ 7.6% ทั้งนี้แนะนำราคาเข้าซื้อเก็งกำไรวันนี้ไม่เกินหุ้นละ 33.50 บาท
KTB: มองเป็นหุ้นปันผลสูงซึ่งสามารถสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนภายใต้ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังรอคอยปัจจัยชี้นำใหม่ๆ โดยคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2567 หุ้นละ 1.06 บาท (จ่ายปีละครั้ง) คิดเป็น Div. Yield สูงปีละ 4.9% ขณะที่ 4Q67 คาดกำไรจะเติบโต 50%YoY สูงสุดในกลุ่มธนาคาร
ข่าวเด่น