
SET ขึ้นมาถึงจุดสำคัญบริเวณแนวต้าน 1366 และ 1374 จุด ตามลำดับ ซึ่งเป็นจุดบอกแนวโน้มถัดไปในภาพรวม โดยหากสามารถขึ้นทะลุผ่านได้ จะเกิดสัญญาณเปลี่ยนแนวโน้ม ส่วนกรณีไม่ผ่าน ดัชนีจะเป็นเพียงการฟื้นตัว และกลับมาปรับลงต่อเหมือนที่ผ่านมา ด้านแนวรับอยู่ที่ 1350 และ 1345 จุด ตามลำดับ หากต่ำกว่าเป็นลบ
ประเด็นสำคัญ
• ปธน. สหรัฐฯ ประกาศมาตรการการค้า วางแผนเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และจากจีน 10% เริ่มวันที่ 1 ก.พ. 2568 และกำลังพิจารณาเก็บภาษีนำเข้าจากสหภาพยุโรปในอนาคต โดยจะตรวจสอบประเด็นต่างๆ ในเสร็จภายในวันที่ 1 เม.ย. 2568
• ปธน. ทรัมป์เตรียมจะคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่และเก็บภาษีนำเข้าในระดับสูง หากรัสเซียไม่ยอมบรรลุข้อตกลงยุติสงครามกับยูเครน
• รมช. คลังเผยไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แต่รัฐบาลจะพยายามหาโอกาสเจรจากับสหรัฐฯ และเฝ้าติดตามสินค้าจีนทะลักเข้าไทยซึ่งเป็นผลจากมาตรการการค้าอย่างใกล้ชิด
• R&I ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ A- Stable โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว Real GDP Growth ปี 2567 อยู่ที่ 2.6% และคาดจะขยายตัวต่อเนื่องในปี 2568 และเชื่อรัฐบาลไทยจะสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะไม่ให้เกินกรอบกฎหมายได้
• ท่าเรือต่างๆ ในมลรัฐเท็กซัสและหลุยเซียอานายังคงปิดทำการเนื่องจากเผชิญพายุฤดูหนาวตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้การขนส่งทางเรือหยุดชะงัก คาดจะสามารถกลับมาเดินเรือได้ในเร็วๆ นี้
• Financial Times รายงานว่า Google เตรียมลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในบริษัท Start Up ด้าน AI Anthropic สะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างผู้พัฒนา AI และคู่แข่งสำคัญอย่าง OpenAI
• รมช.คลังเผยคลังได้ยกร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางทางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (ฟินฮับ) เสร็จแล้ว โดยเป็นกฎหมายใหม่ทั้งฉบับซึ่งคาดจะเสนอให้ครม. พิจารณาได้ไม่เกินต้น ก.พ. และนำเข้าประชุมสภา มี.ค. เพื่อให้กฎหมายเสร็จมีผลบังคับได้ในปลายปีนี้
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีแนวโน้มฟื้นตัวในกรอบแคบ โดยมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1400 จุด ทั้งนี้แม้มองปัจจัยภายนอกจากภาพเศรษฐกิจและแนวโน้มดอกเบี้ยมีท่าทีดีขึ้น รวมถึงผลประกอบการ 4Q67 ของ บจ. ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มออกมาแข็งแกร่ง และท่าทีของว่าที่ปธน. สหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปยังทำให้ตลาดคลายกังวลได้ในระดับนึง แต่อย่างไรก็ดี ปัจจัยภายในประเทศ (นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ) ยังมีแนวโน้มเปราะบางจากการขาดความเชื่อมั่นด้านการลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นไทยอาจฟื้นตัวได้ช้ากว่าตลาดหุ้นในต่างประเทศ อีกทั้งกระแสเงินของนักลงทุนต่างชาติยังไม่มีสัญญาณกลับมาซื้อหุ้นไทยอย่างมีนัยฯ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET มีโอกาสฟื้นแต่ภาพรวมยังเปราะบางหลังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากการเข้าสู่บรรยากาศจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีน อีกทั้งมาตรการกระตุ้นการบริโภคจะเริ่มมีผลบังคับใช้ เช่น นำค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) ในช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ. 68 และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้ผู้สูงอายุในวันที่ 27 ม.ค. นี้ แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CBG OSP) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT AOT) กลุ่มเนื้อสัตว์ (CPF BTG)
2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุน แนะนำ AP KTB BBL PTT
3. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA AWC AU
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรในหุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก หลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรรัสเซียกระทบอุปทานน้ำมัน เลือก PTTEP
DAILY TOP PICKS
ERW: มองเป็นโอกาสซื้อเก็งกำไร หลัง 4Q67 คาดกำไรปกติจะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 305 ลบ. เพิ่มขึ้น 31%YoY และ 145%QoQ ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า อีกทั้งปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวลดลง 27% ในปี 2567 และ 13%YTD สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี และ Valuation ต่ำกว่าค่ากลางของกลุ่มอยู่ 23% ซึ่งบ่งชี้ถึงความคาดหวังที่ต่ำของตลาด
BDMS: เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นกลุ่มการแพทย์ โดยปี 2568 คาดกำไรจะเติบโตต่อเนื่องที่ 8.3%YoY อีกทั้ง valuation ต่ำ โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PER 2568F ระดับ 22.1 เท่า ซึ่งต่ำกว่าระดับ -2SD ของ PER เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี และถือเป็นระดับที่ลึกที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นในกลุ่ม อีกทั้งยังต่ำกว่าหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดภูมิภาค (ไม่รวมประเทศไทย) ราว 21%
ข่าวเด่น