กองทุนรวม
บลจ.อีสท์สปริง เปิดกลยุทธ์การลงทุน 68 ชี้ตลาดเอเชีย-EM เป็นโอกาสในครึ่งปีหลัง เติบโตท่ามกลางความผันผวน


  

บลจ.อีสท์สปริง เผยครึ่งปีแรก เป็นโอกาสของตลาดสหรัฐฯ แต่ด้วยความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ เพิ่มความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ และกดดันเฟดลดดอกเบี้ยต่ำกว่าคาด ทำให้ตลาดโลกเกิดความผันผวน ชี้ทางออกคือการลงทุนในตลาดเอเชีย และตลาดเกิดใหม่ที่ยัง Undervalued อยู่แต่มีพื้นฐานดี รวมถึงหุ้นในกลุ่ม Healthcare ที่ควรมีติดพอร์ตไว้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากความไม่แน่นอนดังกล่าว โดยคาดว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวจะมีการเติบโตที่เห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง
 
 
นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินงานในปี 2025 ว่า ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบสนองความต้องการนักลงทุนทุกกลุ่มในสถานการณ์ที่ทั่วโลกยังเผชิญความผันผวน ทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจและสงครามการค้าจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์  ซึ่งสิ่งสำคัญคือการติดตามข้อมูลข่าวสารและให้คำแนะนำอย่างรวดเร็วแม่นยำ โดย บลจ.อีสท์สปริง ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาเพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนเพื่อเป้าหมายในการประสบความสำเร็จจากการวางแผนทางการเงินผ่านกองทุนรวมในระยะยาว
 
ทั้งนี้ ด้วยการดำเนินงานเชิงรุก ในปีที่ผ่านมา บลจ.อีสท์สปริง ประสบความสำเร็จจากผลการดำเนินงานของกองทุนทุกประเภท โดยมีอัตราเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวม 14% ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 2024 โดยแบ่งเป็น ธุรกิจกองทุนรวม เติบโต 14.93% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เติบโต 10.16% และ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 7.31% สูงกว่าอุตสาหกรรมธุรกิจการจัดการกองทุน AUM รวมเติบโตเกือบ 10% แบ่งเป็น ธุรกิจกองทุนรวม เติบโต 14.10% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เติบโต 6.41 % และ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลเติบโต 2.21% (ข้อมูล AIMC ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024)
 
“ความสำเร็จในปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการดำเนินงานเชิงรุก ทั้งการออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ การพัฒนานวัตกรรมการลงทุนที่สมบูรณ์แบบอย่าง Fund Link Application PVD Digital Platform ที่ประกอบด้วย Eastspring M Choice PVD Mobile Application สำหรับสมาชิก, Eastspring PVD Employer Online สำหรับผู้ประสานงานสำหรับฝั่งนายจ้าง และ Eastspring PVD Fund Committee Mobile Application สำหรับคณะกรรมการกองทุน ที่ออกแบบมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพจนเป็นที่ยอมรับ ซึ่งในปีนี้เรายังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยมีเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มสนใจการลงทุนและวางแผนการเงินอย่างมากมายเพิ่มขึ้น นอกจากกลยุทธ์การให้ความรู้แก่นักลงทุนอย่างเข้มข้นแล้ว ยังมุ่งสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ พร้อมขยายช่องทางการจำหน่ายให้เข้าถึงกลุ่มนักลงทุนได้กว้างขึ้น ควบคู่กับการออกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์การลงทุน รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเพื่อตอบสนองนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่มีความรู้และไม่มีเวลาติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุน ทำให้สามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างง่ายดาย สะดวก และรวดเร็ว พร้อมมีทางเลือกตามความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้” นางสาวดารบุษป์กล่าว พร้อมเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ บลจ.อีสท์สปริงมองเห็นโอกาสการลงทุนในแต่ละภูมิภาค และแต่ละสินทรัพย์ที่มีความแตกต่างกัน การคัดเลือกกองทุนและจัดสรรพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์จะเป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุน ซึ่งปัจจุบันบลจ.อีสท์สปริงมีกองทุนหลากหลายกองทุนภายใต้การบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพด้วยความเชี่ยวชาญ ที่จะช่วยให้นักลงทุนก้าวข้ามขีดจำกัดและไม่พลาดโอกาสครั้งสำคัญ
 
 
นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง กล่าวถึงมุมมองการลงทุนในปีนี้ว่า การลงทุนในปี 2025 จะเป็นธีมการลงทุนที่มีความผันผวน จากผลกระทบของการออกนโยบายของทรัมป์ที่ยังมีความไม่แน่นอน ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐในระยะ 6 เดือนแรกของปีนี้ จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนต่อแนวโน้มดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าในระยะกลาง รวมทั้งจะทำให้เกิดเงินเฟ้อมากขึ้นและอาจทำให้รอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดช้าลง ทั้งนี้ตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่มีความดึงดูดในแง่ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว และปัจจัยขับเคลื่อนในระยะยาวยังคงอยู่ เช่น การใช้จ่ายเงินทุนที่เพิ่มขึ้น การลดการปล่อยคาร์บอน และการกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานน่าจะช่วยยกระดับรายได้ของบริษัทจดทะเบียน
 
“สหรัฐฯเองอย่างน้อยในสักช่วงครึ่งปีแรก ก็คงจะยังเป็นพี่เบิ้มที่เป็นผู้นำในตลาดโลกอยู่ เพราะว่ายังมีความน่าสนใจจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ในขณะที่ตลาดอื่น ๆ ปัจจุบันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังไม่โดดเด่นเท่าสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวเลขล่าสุดของอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ก็มีทิศทางลดลงอยู่ที่ 4% ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ค่อยปรับลดลง ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางของ Soft Landing และพลังขับเคลื่อนหลักของตลาดสหรัฐฯ คือการใช้จ่ายของผู้บริโภค หรือ Private Consumption จากที่ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯคงอยู่ในระดับสูงที่ 4.25% หากพิจารณาจากตัวเงินที่ยังอยู่ในระบบของ Money Market Fund ยังมีการออมอยู่ในระดับที่สูงมากคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของจีดีพี ซึ่งหมายว่าคนเหล่านี้ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ได้เงินประมาณ 4% ต่อปีโดยเพียงแค่เอาเงินไปแช่เก็บไว้เฉย ๆ โดย 4% ต่อปี ของสัดส่วนจีดีพี 25% เท่ากับว่าเป็นการปั๊มเงินให้ในระบบเศรษฐกิจ 1% เพราะฉะนั้นหุ้นสหรัฐฯ ต่าง ๆ ยังไปต่อได้ในช่วง 6 เดือนแรก
 
ส่วนเรื่องของ Inverted Yield Curve หรือดัชนีความผิดปกติของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ จะเข้าสู่สภาวะ Recession ในช่วงไตรมาส 3 - 4 ของปีที่แล้ว จนเกิดความกังวลในตลาดจนทำให้ตราสารหนี้เกิดสภาวะ Overpriced บริษัทต่าง ๆ พยายามล็อกต้นทุน ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดเองก็มีความระมัดระวังมากจึงมีการลดดอกเบี้ยค่อนข้างเร็วในปีที่แล้ว แต่ผลสรุปแล้วการถดถอยทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ มันไม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ที่นี้ถ้ามองภาพการเข้ามาของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนอย่าง Tariff หรือ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้า เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบทันทีต่ออัตราเงินเฟ้อมากที่สุด หากนับจากนโยบายของทรัมป์ที่เหลือที่จะส่งผลใน Long-term Effect มากกว่า ทางบลจ.อีสท์สปริง จึงมองว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีโอกาสค่อนข้างน้อยที่เฟดจะทำการลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อ อีกทั้งในเชิงเศรษฐศาสตร์ก็มองว่า การขึ้นภาษีนำเข้าส่งผลต่อการเพิ่มของอัตราเงินเฟ้ออย่างแน่นอน” นายยิ่งยง กล่าว
 
สำหรับโอกาสในการลงทุน ที่จะสามารถต่อสู้กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน และเป็นการกระจายความเสี่ยงจากปัจจุบันที่นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างมุ่งไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะมีความร้อนแรงลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ทางด้านของนายยิ่งยง เปิดเผยว่า ตลาดเอเชีย โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market:EM) นับว่ามีความน่าสนใจ แต่ต้องใช้วิธีของการคัดเลือกหุ้นรายตัว (Selective Buying) ที่เป็นหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง มีพื้นฐานที่ดี รวมถึงมีการให้เงินปันผล ซึ่งจะช่วยรักษาพอร์ตให้มีความผันผวนต่ำ ไม่ยึดโยงตามการเคลื่อนไหวของสหรัฐอย่างวิธีการลงทุนในหุ้นที่เติบโตอ้างอิงจากตลาด เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดเอเชียโดยตรง
 
 
“2-3 ปีที่ผ่านมา มีแต่คนมุ่งลงทุนในตลาดสหรัฐฯ ประกอบกับการมีเทรนด์ของ AI เข้ามาในช่วงปลายปี 2022 ทำให้ตลาด Emerging Market และตลาดเอเชียโดนละเลยไป แต่ถ้าดูในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควรกลับมามองความเป็น Fundamental เพราะเราคิดว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่มี Margin of Safety หรือหุ้นที่ยังมีความปลอดภัยจากราคาที่ต่ำกว่าถ้าเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง โดยที่ตลาด Emerging Market เช่น จีน อินเดีย และเวียดนาม ที่มีอัตราการเติบโตของจีดีพีมากกว่า 5% ต่อปี จะมีแนวโน้มการเติบโตในอัตราที่ดีกว่าตลาดในประเทศที่พัฒนาแล้ว อ้างอิงจากกราฟด้านขวามือ จะแสดงถึงการประเมินมูลค่าระหว่างการลงทุนในตลาด Emerging Market กับตลาดหุ้น MSCI World ที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าปกติแล้ว Emerging Market มีการลงทุนในตัวเองเยอะ หุ้นจะมีการปรับขึ้น แต่ที่ผ่านมาเส้นฉีกออกจากกัน แม้ว่าในตลาด Emerging Market จะมีการลงทุนแล้วก็ตาม ซึ่งตรงนี้เองเราคิดว่ามันเป็นการเกิดขึ้นของกระแสที่ตลาดสหรัฐฯ ดึงความสนใจออกไปจาก ตลาด Emerging Market แต่เราคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังคนจะเริ่มมองหาโอกาสใหม่ ๆ นอกจากการลงทุนในตลาดสหรัฐฯ เพื่อกระจายความเสี่ยงออกไป”
 
โดยหากเจาะถึงรายประเทศนั้น ด้านจีน เศรษฐกิจจีนยังมีแรงกดดันในภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากรัฐบาลจีนเองไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเข้าไปแทรกแซงให้ปัญหานี้จบอย่างเร่งด่วน แต่อยู่ในสถานะของ Reactive ที่ปล่อยให้เป็นกลไกตามธรรมชาติ ประกอบกับจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จะเป็นตัวกดดันเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้าง แต่ในมุมมองของบลจ.อีสท์สปริง วิเคราะห์ว่า จีนก็เป็นตลาดที่ใหญ่อันดับ 2 ของโลก และเศรษฐกิจจีนก็มีวิวัฒนาการอยู่พอสมควรในแง่ของการเป็น Manufacturing if the World ของด้านเทคโนโลยี ฉะนั้นจีนจึงเป็นตลาดที่ต้องมีการลงทุนแบบ Bottom-up หรือการลงทุนเชิงรุก ไม่แนะนำให้ลงทุนแบบ Passive ที่อิงไปกับการเติบโตของตลาด ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจจีนในช่วงปีถึงสองปีข้างหน้ายังคงมีความแกว่งอยู่ เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงไม่แนะนำให้เข้าไปลงทุนในลักษณะ Market Timing (จับจังหวะการลงทุนด้วยการประเมินสถานการณ์ในตลาด) เพราะมีความเสี่ยงสูงและไม่สามารถสร้างผลกำไรในระยะยาวได้
 
ด้าน อินเดีย การบริหารจัดการเชิงรุกถือเป็นปัจจัยสำคัญท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับโมเมนตัมของเศรษฐกิจของอินเดียที่ชะลอตัวลง และการประเมินมูลค่าตลาดที่ตึงตัว บริษัทในอินเดียยังคงค่อนข้างแข็งแรง โดย ROE กำลังดีขึ้นและอัตราส่วนหนี้สินกำลังลดลง การปรับฐานของตลาดในอินเดียในไตรมาส 4 ปี 2024 ทำให้ผู้ลงทุนมีจุดเข้าลงทุนที่น่าสนใจมากขึ้น หุ้นขนาดใหญ่มีราคาที่น่าสนใจมากกว่าหุ้นขนาดเล็ก
 
สำหรับ ญี่ปุ่น การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่นอาจขยายวงกว้างไปยังหุ้นขนาดกลางถึงเล็ก ซึ่งน่าจะได้รับประโยชน์จากค่าจ้างที่สูงขึ้นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น จากการปฏิรูปการกำกับดูแลกิจการ Corporate Reform ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลกำไรและราคาหุ้นที่พัฒนาแบบค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ส่วนประเด็นเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก แต่จะส่งผลดีต่อบริษัทในประเทศที่พึ่งพาการนำเข้า
 
ส่วน อินโดนีเซีย นโยบายสนับสนุนการเติบโตของรัฐบาลปราโบโวและมาตรการทางการคลัง คาดว่าจะช่วยเสริมสร้างภาคสินค้าอุปโภคบริโภคและการเงิน การให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการประชาชนของรัฐบาล จะช่วยกระตุ้นการบริโภคและสร้างโอกาสให้กับบริษัทที่จำหน่ายอาหารที่เน้นความคุ้มค่าคุ้มราคา

ด้าน เวียดนาม บริษัทในกลุ่มการเงิน สินค้าอุปโภคบริโภค เทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึง โลจิสติกส์ อยู่ในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก รวมถึงการเพิ่มขึ้นของการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย
 
ส่วนประเทศไทย แม้ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ความไม่แน่นอนด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่ลดลงในบริษัทจดทะเบียน และการขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) แต่ตลาดไทยยังได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการกระตุ้นทางการคลังที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าปี 2024 กลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้และธุรกิจ Healthcare ซึ่งเป็นกลุ่มเชิงรับคาดว่าจะเป็นกลุ่มได้รับประโยชน์จากความผันผวนของตลาด

“ฉะนั้น ธีมการลงทุนของบลจ.อีสท์สปริง จะเป็นการให้ความสนใจในตลาด Emerging Market ที่มีราคาถูก (Margin of Safety) และมีการคัดเลือกในแบบ Active Management ซึ่งไม่อิงไปตามตลาด โดยใช้กลยุทธ์ Low Volatility หรือคัดเลือกหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ และหุ้นกลุ่มพื้นฐานดีมีเงินปันผล (Defensive Stock) ที่ราคายัง Undervalued อยู่ เนื่องจากในสภาวะที่ตลาดเกิดความผันผวน หุ้นประเภทนี้จะยังให้ผลตอบแทนอยู่ นับเป็นการช่วยลดความเสี่ยงด้านลบและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้ การคว้าโอกาสจากเทรนด์ที่มาแรงจากอุตสาหกรรมดั่งเดิมสู่เทคโนโลยีสีเขียวเป็นโอกาสการลงทุน ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีในเอเชียเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าสำหรับการลงทุนใน AI” นายยิ่งยง กล่าวเสริม
 
 
ด้าน นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยถึงธีมการลงทุนที่น่าสนใจและแนะนำในปี 2025 ว่า ประกอบด้วย 4 ธีมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ในปีนี้ได้แก่  

1. โอกาสในเอเชีย โดยคาดว่ากองทุนเอเชียที่มีความผันผวนต่ำจะเป็นโอกาสในการลงทุน โดยมองว่าประเทศอินเดียยังคงมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงการขยายตัวของประชากร และค่าเฉลี่ยแรงงานที่อายุไม่มากซึ่งส่งผลดีต่อกำลังซื้อ ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นจากค่าแรงที่ปรับตัวขึ้น โดยกองทุนที่แนะนำได้แก่ ES-JPNAE ES-INDAE และ ES-ALOVE (ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายในวันที่ 14-21 กุมภาพันธ์ 2025)
 
“ในปีนี้สถานการณ์การลงทุนค่อนข้างมีความผันผวน สิ่งที่นักลงทุนเริ่มทำกันก็คือการขายหุ้นที่ทำกำไรได้แล้ว และหันไปลงทุนในหุ้นที่ถูกและยัง Laggard ที่มีความผันผวนต่ำ เป็นหุ้นเอเชียในกลุ่มที่เมื่อเกิดวิกฤตต่าง ๆ หุ้นกลุ่มนี้ก็ยัง Outperform ได้ตลอด ขณะเดียวกัน ประเทศญี่ปุ่น เป็นตลาดที่มีพัฒนาการที่ดีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีความนิ่ง ๆ ในช่วง 6-8 เดือนที่ผ่านมา แต่ว่าเรื่องของค่าจ้างที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มที่จะทำให้การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงอินเดีย เป็นตลาดที่ Outperform ทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว ค่าเฉลี่ย 10 ปี มีผลตอบแทนเฉลี่ย 11-12% ขณะที่เอเชียมีผลตอบแทนเฉลี่ย 1% นอกจากนี้ ประเด็นที่อินเดียไม่ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และ Valuation อินเดียจากตลาดหุ้นที่แพงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ทำให้เกิดการเทขายก่อนหน้านี้ จนตอนนี้ราคาหุ้นของอินเดียมีราคาถูกกว่าที่ผ่านมา นอกจากนี้ช่วงสัปดาห์ที่แล้วธนาคารกลางอินเดียมีการเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย อีกทั้งยังมีการปฏิรูปนโยบายการคลัง เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดอินเดียเริ่มบูมขึ้นมา ฉะนั้นโอกาสในเอเชียจะอยู่ที่หุ้นในกองทุน ES-JPNAE ES-INDAE และ ES-ALOVE” นายบดินทร์ กล่าว
 
2. การเติบโตที่มีศักยภาพ: คาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะยังคงขยายตัวได้ท่ามกลางความผันผวน โดยมีการคาดการณ์ปรับขึ้นของจีดีพีจากไตรมาสที่แล้วจากต้นเดือน ม.ค. ที่ 2.1% ถูกปรับเพิ่มเป็น 2.2% ขณะเดียวกัน กำไรของบริษัทจดทะเบียนออกมาค่อนข้างดีมากโดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร การเติบโตทางเศรษฐกิจนี้เองจะส่งผลให้หุ้นมีการเติบโตแบบ Broad based ซึ่งหุ้นขนาดใหญ่จะกลับมาเติบโตได้ในภาพรวม ส่วนตราสารหนี้สหรัฐฯในปีนี้ อาจไม่ทำกำไรมากนัก แต่มีความสำคัญตรงที่สามารถเอาเป็นตัวไว้ใช้กระจายความเสี่ยง และทำให้พอร์ตมีความเสถียรมากขึ้น กองทุนที่แนะนำคือ ES-USBLUECHIP
 
3. การเข้าสู่โหมดลดอัตราดอกเบี้ย : คาดว่าเฟดจะยังคงลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ซึ่งอาจจะเป็นในช่วงครึ่งปีหลัง และการลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก็ตาม แต่เมื่อรวมกับผลตอบแทนที่น่าสนใจ เราเชื่อว่าตราสารหนี้คุณภาพสูงและกลยุทธ์การปรับอายุตราสาร (Duration) ที่ยืดหยุ่นจะเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ กองทุนที่แนะนำ คือ ES-GINCOME
 
4. การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ : ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความผันผวน การมีกองทุนเชิงรับในพอร์ตเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างสมดุลให้กับการลงทุน โดยกองทุนที่แนะนำคือ ES-HEALTHCARE เป็นด้านของ Healthcare ซึ่งเป็นธีมการลงทุนที่ Underperform ในดัชนี S&P 500  มาตลอด แต่ในปีนี้หุ้นกลุ่ม Healthcare ในดัชนีดังกล่าว เพิ่มขึ้น 7% YTD (เป็นอันดับ 2 รองจากหุ้นในกลุ่ม Finance) เนื่องด้วยทรัมป์มีการดำเนินนโยบายที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดซึ่งทำให้ตกอยู่สภาวะไม่แน่นอน และความไม่แน่นอนตรงนี้มักจะส่งผลดีต่อกลุ่ม Healthcare
 
 
“สำหรับแนวทางการจัดพอร์ตในปีนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 5 โมเดล ได้แก่ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยมากแนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 70% กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 30%  นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย แนะนำลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 45% กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 30% กองทุนหุ้นต่างประเทศ 25% นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง แนะนำลงทุน กองทุนหุ้นต่างประเทศ 45% กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 25% กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 20%  กองทุนหุ้นไทย และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 5 % นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก แนะนำลงทุนกองทุนหุ้นต่างประเทศ 65% กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ 25% กองทุนหุ้นไทย และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 5 % และสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากที่สุด แนะนำลงทุนกองทุนหุ้นต่างประเทศ 80% กองทุนหุ้นไทย และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างละ 10 %”  นายบดินทร์กล่าว

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 10 ก.พ. 2568 เวลา : 17:59:54
23-02-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ February 23, 2025, 10:08 pm