
คาด SET ได้แรงหนุนหลังทรัมป์ยังไม่ใช้ภาษีตอบโต้ ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่า และบาทแข็งเป็นบวกต่อ Fund Flow อย่างไรก็ตาม มองเป็นแรงหนุนช่วงสั้น เนื่องจากแนวโน้มภาพรวมดัชนียังไม่มีสัญญาณกลับตัว ทำให้มองการฟื้นตัวยังถูกจำกัด โดยมีแนวต้านที่ 1300-1305 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1260-1270 จุด
ประเด็นสำคัญ
• ม.หอการค้าไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. ที่ 59.0 เพิ่มต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และสูงสุดในรอบ 8 เดือน หนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ช่วยคลายสถานการณ์เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น
• BOI เผยมาสด้ามอเตอร์ประกาศแผนขยายการลงทุนในไทยมูลค่ากว่า 5 พันลบ. โดยใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของรถยนต์ B-SUV แบบ MHEV ซึ่งเป็นรถยนต์แบบผสมที่ใช้เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ตั้งเป้าผลิต 1 แสนคันต่อปี เพื่อส่งออกไปทั่วโลก
• รมว.คลังเผยกำลังทบทวนเกณฑ์การเสียภาษีเงินได้บุคคลที่มีเงินได้จากต่างประเทศและนำเข้ามาในไทยใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสร้างแรงจูงใจให้นำเงินลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาในประเทศ
• รมว.คลังเผยว่าการปรับปรุงหลักเกณฑ์ LTF อยู่ระหว่างการศึกษาข้อกฎหมายและเงื่อนไขในการโยกเงิน LTF ที่ครบอายุสู่กองทุน ThaiESG จัดตั้งใหม่ และคาดจะเห็นความชัดเจนภายในไม่เกิน ก.ย. 2568
• รมว. คลังเผยกำลังจัดทำมาตรการช่วยเหลืออุตฯ ยานยนต์กับ บ.ส.ย. ให้ช่วยค้ำประกันสินเชื่อรถเชิงพาณิชย์ โดยจะปรับสัดส่วนค้ำประกันเพิ่มขึ้นจาก 30% คาดจะสามารถนำเสนอครม. ได้ภายใน 3-4 เดือน
• ททท. คาดการท่องเที่ยวไทย ก.พ. 2568 เติบโตขึ้น และจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทย 16.45 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 2% และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวราว 81,250 ลบ. เพิ่มขึ้น 8%
• ปธน. ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 1 เม.ย. โดยได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเศรษฐกิจและการค้าศึกษาเพิ่มเติม
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวแต่ Upside จำกัด โดยมีแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1320 จุด โดยแม้ปัจจัยต่างประเทศจะมีแรงหนุนจากการคลายความกังวลเรื่องสงครามการค้าระยะสั้นและผลประกอบการนอกกลุ่มการเงินของ บจ. สหรัฐฯ ที่คาดยังออกมาแข็งแกร่ง แต่ในประเทศยังขาดปัจจัยบวกใหม่กระตุ้นบรรยากาศลงทุน โดยคาดดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีแนวโน้มชะลอตัวลง แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเริ่มมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยยัง Underperform ตลาดหุ้นทั่วโลก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET มีโอกาสฟื้นตัวได้ แต่ Upside จำกัด มีแนวต้านสำคัญที่ 1320 แนะนำลงทุนใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนกำไร 4Q67-1Q68 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC
2. หุ้น Real Sector พื้นฐานดี ใน SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุนและมี Downside Risk จำกัดเนื่องจากมีจุดแข็ง 1) ปี 2568 คาดกำไรสามารถเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง สภาพคล่องสูง มีโอกาสซื้อหุ้นคืน (มี PBV < 1 เท่า) 3) Valuation ไม่แพง ซื้อขาย PER และ PBV 2568F ต่ำกว่า -1SD และ 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาด Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อย 5% แนะนำ BCP AP PTT TU SPALI
3. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค เช่น Easy E-Receipt และแจกเงินหมื่นเฟส 2 แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO TNP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT AWC ERW AOT)
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไร 1) หุ้นที่คาดสัปดาห์หน้าจะประกาศงบ 4Q67 และกำไรเติบโต YoY และ QoQ แนะนำ AOT MINT และ 2) หุ้นที่คาดมีโอกาสเพิ่มอัตราจ่ายปันผล หรือ ซื้อหุ้นคืน เนื่องจากมี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า และมีสภาพคล่องสูง เลือก PTT KBANK BBL KTB
DAILY TOP PICKS
GPSC: มองช่วงสั้นมีปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจากการปรับลงของราคาก๊าซฯ, Bond Yield และเงินบาทแข็งค่า ขณะที่ราคาหุ้นปรับลงช่วงที่ผ่านมามองรับรู้ประเด็นลบไปมากแล้ว ปัจจุบันจึงเป็นโอกาสสะสมเนื่องจากยังเห็นปัจจัยหนุน ได้แก่ การเพิ่มกำลังการผลิต, การได้รับการคัดเลือกโครงการพลังงานทดแทนระยะที่ 2 รอบแรก, ไม่มีผลกระทบจากการบังคับใช้ภาษีขั้นต่ำสากล
TIDLOR: มองผลประกอบการจะฟื้นตัวได้ดีในปี 2568-2569 โดยได้แรงหนุนจาก Credit Cost ที่ลดลง การเติบโตของสินเชื่อและ Non-NII ในระดับปานกลาง และการขยายตัวของ NIM อีกทั้งเลือกเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มเงินทุน เนื่องจากมี Valuation ที่ถูกที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
ข่าวเด่น