
คาด SET แกว่งในกรอบระหว่าง 1250-1272 จุด โดยตลาดที่ยังขาดปัจจัยหนุน ท่ามกลางความกังวลสงครามการค้า ทำให้กรอบบนถูกจำกัด ขณะที่ในภาพรวมยังมีความเสี่ยงด้าน Downside โดยติดตามกรอบล่างที่แนวรับ 1245-1250 จุด หากต่ำกว่าเป็นลบต่อ ประเด็นสำคัญ ติดตามรายงานประชุมเฟด
ประเด็นสำคัญ
• Reuters รายงานว่าโดรนยูเครนที่มีเป้าหมายโจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลังงานรัสเซียในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และวานนี้มีการโจมตีสถานีสูบน้ำมันของ CPC ซึ่งส่งผลกระทบต่อน้ำมันที่ลำเลียงจากคาซักสถานสู่บริษัทระดับโลก เช่น Chevron และ Exxon Mobil เป็นครั้งแรก
• กระทรวงต่างประเทศจีนตอบรับความพยายามการสร้างสันติภาพในยูเครนซึ่งรวมถึงการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซีย และหวังว่าทุกฝ่ายจะได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเจรจาสันติภาพ
• ธปท. เผยสินเชื่อระบบธพ. ปี 2567 ติดลบ 0.4%YoY หดตัวสูงสุดในรอบ 15 ปี กดดันจากสินเชื่อรายย่อยที่หดตัวทุกประเภท โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อ ขณะที่สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่และภาครัฐยังขยายตัวได้
• ธปท. กำลังพิจารณาการผ่อนคลาย LTV ว่าจะช่วยกระตุ้นภาคอสังหาฯ โดยเฉพาะต่อกลุ่มเปราะบางได้หรือไม่ และต้องพิจารณาร่วมกับสัญญาณเก็งกำไรในภาคอสังหาฯ ควบคู่กับอุปสงค์-อุปทานคงเหลือ
• รมช.คลัง เผยกระทรวงการคลังยังมั่นใจว่า GDP ไทยในปี 2568 จะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 3% แม้ว่า สศช. คาดเติบโตได้เพียง 2.8% โดยนอกจากโครงการแจกเงินหมื่นเฟส 3 ที่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจใน 2Q68 คลังยังเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
• ส.อ.ท. เผยภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มจะฟื้นตัวสอดคล้องกับเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคบริการ ใน 5 ปีข้างหน้า (ปี 2568-73) คาดอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 3.5-4.5% นำโดยกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มมึนเมาในอีก 5 ปีข้างหน้าคาดจะเติบโตในระดับต่ำเพียง 1-2% ต่อปี
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวแต่ Upside จำกัด มีแนวต้านที่บริเวณ 1320 จุด ปัจจัยต่างประเทศมีประเด็นติดตามอย่างรายงานการะประชุมของ FOMC ซึ่งคาดจะเป็นลบต่อบรรยากาศลงทุน หลังประธานเฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐฯ ที่คาดจะออกมาไม่ดีนัก หลังจาก ปธน. สหรัฐฯ ยังมีท่าทีดำเนินสงครามการค้าต่อทำให้เกิดความไม่ชัดเจนในหลายส่วน ส่วนปัจจัยในประเทศมีประเด็นติดตามอย่างการประกาศงบ 4Q67 ของบจ. Real Sector ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้าย ส่วน GDP 4Q67 ของไทยที่คาดฟื้นตัวต่อเนื่องและเติบโตได้จากฐานต่ำปีก่อน และ 1Q68 คาดจะเติบโตจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ยังเร็วเกินไปที่จะมีการปรับ GDP ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET มีโอกาสฟื้นตัว แต่ Upside จำกัดหลังไร้ปัจจัยใหม่ กลยุทธ์ลงทุนแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนกำไร 4Q67-1Q68 ที่คาดจะเติบโต YoY และ QoQ และมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC
2. หุ้น Event Play ที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของรัฐอย่าง Easy E-Receipt และแจกเงินหมื่นเฟส 2 ขณะที่ผลประกอบการ 4Q67 คาดจะเติบโตดี แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO TNP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT AWC ERW)
3. หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน จาก SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุนและ Downside Risk จำกัด เนื่องจาก 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีโอกาสซื้อหุ้นคืน 3) Valuation ไม่แพง PER และ PBV 2568F ต่ำกว่า -1SD และ 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ได้แก่ BCP AP PTT TU SPALI
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไร 1) หุ้นที่คาดสัปดาห์นี้จะประกาศงบ 4Q67 กำไรเติบโต YoY และ QoQ ซึ่งคาดกำไรจะดีกว่าตลาดคาด แนะนำ CPAXT MTC TRUE CBG และ 2) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์หลัง MSCI Rebalance ซึ่งจะมีผล 28 ก.พ. 2568 แนะนำ หุ้นที่จะเข้า Global Small Cap อย่าง GPSC SCGP ขณะที่ระมัดระวัง PTTGC TOP ที่ออกจาก Global standard แม้จะเข้า Global Small Cap
DAILY TOP PICKS
BBL: ยังเลือกเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เนื่องจากมีงบดุลแข็งแกร่งที่สุด สินเชื่อเติบโตมากที่สุด ความเสี่ยงเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุด และ Valuation ถูกที่สุดในกลุ่ม รวมถึงบริษัทกำลังพิจารณาบริหารจัดการเงินทุนทั้งในรูปของการเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืนซึ่งมองจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น
CPAXT: 4Q67 ประกาศกำไรสุทธิ 4 พันลบ. (+21%YoY, +103%QoQ) สูงกว่าเราและตลาดคาดไว้ หนุนปี 2567 กำไรเติบโต 22.3%YoY พร้อมจ่ายปันผลจากกำไร 2H67 ที่ 0.53 บาท/หุ้น (XD 8 เม.ย.) ส่วนปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตดีสุดในกลุ่มอย่างน้อย 19%YoY (เทียบกับกลุ่มเติบโตเฉลี่ย 15%YoY) หลังควบรวมกิจการคาด Synergy จะเริ่มชัดเจนในปี 2568-70
ข่าวเด่น