หุ้นทอง
WHA Group ท็อปฟอร์ม โชว์งบปี 67 กำไรปกติพุ่งแตะ 4,526 ล้านบาท สร้าง New Record High เดินหน้าอัดงบลงทุน 5 กลุ่มธุรกิจปี 68 กว่า 20,000 ลบ.


บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA Group) ท็อปฟอร์มหลังโชว์งบปี 2567 กำไรปกติพุ่งแตะ 4,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% (Y-Y) สร้าง New Record High ต่อเนื่อง และมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร 14,342 ล้านบาท โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 14,303 ล้านบาท ขณะที่กำไรปกติ 4,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% (Y-Y) ด้าน Group CEO “จรีพร จารุกรสกุล” ประกาศ ชู “ดับบลิวเอชเอ โมบิลิตี้” “(WHA Mobility)” ภายใต้แบรนด์ โมบิลิกส์ “Mobilix” ธุรกิจใหม่ล่าสุดเป็น Hub ที่ 5 ของ WHA Group พร้อมอัดงบลงทุนปี 2568 กว่า 20,000 ล้านบาท ใน 5 กลุ่มธุรกิจ รองรับการย้ายฐานการลงทุน การผลิต ของอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง

 
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) WHA Group เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 14,342 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 4,359 ล้านบาท โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 14,303 ล้านบาท และกำไรปกติ 4,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% (Y-Y) เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปัจจัยที่ทำให้กำไรปกติ สร้างสถิติใหม่ New Record High เป็นผลมาจากการดำเนินงานที่เติบโตเพิ่มขึ้นของ 5 กลุ่มธุรกิจ ทั้ง โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและไฟฟ้า ดิจิทัล และ ล่าสุดโมบิลิตี้ โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์โมบิลิกส์ (Mobilix) พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHAIR มูลค่ารวม 1,065 ล้านบาท

ธุรกิจโลจิสติกส์ ในปี 2567 มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยได้ลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มรวม 162,177 ตร.ม. และมีสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูง 115,511 ตร.ม. ส่งผลให้มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารทั้งหมด 3,108,190 ตร.ม. โดยในปี 2567 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 1,633 ล้านบาท ด้วยความต้องการพื้นที่เช่าที่ยังสูงต่อเนื่อง ในปี 2568 บริษัทฯ จึงเร่งพัฒนาโครงการใหม่ สำหรับประเทศไทย บริษัทฯ มีแผนขยายโครงการสำคัญในทำเลที่มีศักยภาพ รวมพื้นที่กว่า 380,000 ตร.ม. สำหรับการลงทุนที่ประเทศเวียดนาม โครงการคลังสินค้าโลจิสติกส์แห่งแรกขนาด 37,000 ตร.ม. ก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการต้นปี 2568 นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MoU) กับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัด Thanh Hoa เพื่อศึกษาการพัฒนาโครงการโลจิสติกส์ในพื้นที่ 300 ไร่

ในส่วนของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ จีซี โลจิสติกส์ จำกัด (WGCL) บริษัทฯ ประกาศมุ่งสู่การยกระดับ จาก 3PL เป็น 4PL โดยอาศัยจุดแข็งและความเชี่ยวชาญร่วมของ WHA และ GC เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจโลจิสติกส์ ในการขยายขอบเขตการให้บริการสู่การวางแผน ออกแบบ และบูรณาการระบบโลจิสติกส์ อย่างครบวงจร

สำหรับ Office Solutions ปัจจุบัน มี 6 โครงการในกรุงเทพฯ บนพื้นที่กว่า 120,000 ตร.ม. โดยล่าสุดเปิดให้บริการแล้วในปี 2567 ได้แก่ โครงการ Qube ไลฟ์สไตล์ รีเทลสเปซ พื้นที่ 3,000 ตร.ม. อยู่ติดสถานี BTS สุรศักดิ์ และยังมีโครงการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางในย่านสาทร พื้นที่ 6,900 ตร.ม. คาดว่าแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2568

บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ากลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ในปีนี้ โดยการเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเป็นประมาณ 3,309,000 ตร.ม. โดยมีโครงการให้เช่าพื้นที่ใหม่ประมาณ 200,000 ตร.ม.(ไทย 163,000 ตร.ม./ เวียดนาม 37,000 ตร.ม.) ขณะที่กองทรัสต์ บริษัทฯ มีแผนการขายทรัพย์สินและ/หรือสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART รวมประมาณ 70,000 ตร.ม. มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท

ธุรกิจโมบิลิตี้ ในปี 2567 บริษัทฯ เปิดตัวโซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Mobilix ภายใต้ 3 บริการหลัก ได้แก่ บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV Rental Service) เป็นบริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (On Premise & Public EV Charging Solution) บริการเครื่องชาร์จและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) แพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะ โดย ณ สิ้นปี 2567 มียอดการให้บริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าสะสมรวม 330 คัน

และในปี 2568 นี้ บริษัทฯ มุ่งสร้าง Built-to-Suit EV ecosystem of Logistics ที่ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) และการให้บริการอย่างครบวงจร โดยตั้งเป้ามีรถ EV ภายใต้การบริการเช่ารถรวม 1,700 คัน และเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 คัน ในอีก 5 ปีข้างหน้า

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในปี 2567 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินสูงต่อเนื่องรวม 2,565 ไร่ (ไทย 2,453 ไร่ / เวียดนาม 112 ไร่) และยอด MOU รวม 716 ไร่ (ไทย 696 ไร่ / เวียดนาม 20 ไร่) และสามารถรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในปี 2567 จำนวน 6,187 ล้านบาท ซึ่งยังคงได้รับปัจจัยบวกจากราคาขายที่ดินที่ปรับตัวขึ้น รวมถึงอานิสงส์จากการย้ายฐานการลงทุน / การผลิต (Relocation) และการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ใกล้กับตลาด (Nearshoring) ที่ยังคงมีเข้ามาต่อเนื่อง ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ให้กับลูกค้ากว่า 1,535 ไร่ (ไทย 1,530 ไร่ / เวียดนาม 5 ไร่)

โดยในปี 2567 บริษัทฯ มีลูกค้ารายสำคัญ อย่าง Google ได้ลงนามสัญญาซื้อขายที่ดินเพื่อสร้าง Data Center แห่งแรกในประเทศไทย และ Haier ได้สร้างโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศครบวงจรแห่งใหม่ อีกทั้งใน ไตรมาส 4/2567 ที่ผ่านมา มีการลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ที่มีแผนสร้าง Data Center ในประเทศไทยเพิ่มอีก 1 โครงการ รวมทั้งบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มลูกค้าดาต้าเซ็นเตอร์จากประเทศจีน ญี่ปุ่น และยุโรป อีกหลายโครงการ

ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีทั้งหมด 15 นิคมอุตสาหกรรม (ไทย 14 แห่ง / เวียดนาม 1 แห่ง) ทั้งนี้ บริษัทฯ มีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่กำลังก่อสร้างและรอการพัฒนารวม 7 โครงการ บนพื้นที่ 8,810 ไร่ เพื่อรองรับความต้องการที่ดินจากนักลงทุนที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนโครงการในประเทศเวียดนาม ขณะนี้มี 2 โครงการ ขนาดพื้นที่รวม 2,297 ไร่ (368 เฮกตาร์) ที่ได้รับการอนุมัติใบอนุญาตลงทุน (Investment Registration Certificate, IRC) เรียบร้อยแล้ว และ 1 โครงการ ขนาด 1,094 ไร่ (175 เฮกตาร์) อยู่ระหว่างการขออนุมัติใบอนุญาตลงทุน ล่าสุดช่วงเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MoU) กับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัด Thanh Hoa เพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่ง พื้นที่รวม 4,000 ไร่ (640 เฮกตาร์)

สำหรับกลุ่มธุรกิจดังกล่าวในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ดินรวมไว้ที่ 2,350 ไร่ (ไทย 1,700 ไร่ / เวียดนาม 650 ไร่) โดยมุ่งเน้นการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เป็นต้น

ธุรกิจสาธารณูปโภค(น้ำ) บริษัทฯ รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจสาธารณูปโภครวมในปี 2567 เท่ากับ 3,040 ล้านบาท โดยมีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับปี 2567 เท่ากับ 166 ล้านลูกบาศก์เมตร ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากยอดขายและบริหารน้ำที่เติบโตขึ้นทุกผลิตภัณฑ์จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-added product) ซึ่งมีปริมาณความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับปริมาณการจำหน่ายน้ำในเวียดนามของโครงการ Doung River ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการขยายพื้นที่การให้บริการให้กับกลุ่มลูกค้าเดิมและกลุ่มลูกค้าใหม่

ในปี 2568 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมที่ 173 ล้านลูกบาศก์เมตร (ไทย 132 ล้านลูกบาศก์เมตร / เวียดนาม 41 ล้านลูกบาศก์เมตร) และยังมุ่งเน้นธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร

ธุรกิจไฟฟ้า ในปี 2567 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์เท่ากับ 494 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าเท่ากับ 841 ล้านบาท

ด้านธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในปี 2567 บริษัทฯ มีจำนวนเซ็นสัญญาโครงการ Private PPA สะสมจำนวน 290 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 965 เมกะวัตต์ ซึ่งแบ่งเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วจำนวน 701 เมกะวัตต์ (เป็นพลังงานหมุนเวียนจำนวน 173 เมกะวัตต์) และที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 264 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด

ในปี 2567 บริษัทฯ มีปริมาณขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม 158 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นกว่า 35% จากปีก่อนหน้า และมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีโครงการก่อสร้างซึ่งคาดจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 นี้ จำนวนกว่า 100 เมกะวัตต์

สำหรับเป้าหมายปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA) ที่ลงนามแล้วจำนวน 1,185 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าเป็นพลังงานหมุนเวียนจำนวน 657 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ ถึง 635 เมกะวัตต์

ธุรกิจดิจิทัล จากความมุ่งมั่นในการยกระดับองค์กรในทุกมิติ บรรลุเป้าหมายการเป็น Technology Company ในปี 2567 บริษัทฯ ยังมุ่งผลักดันไปสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Technology-driven Organization) พร้อมมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อาทิ การพัฒนา โมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม สำหรับจัดการยานพาหนะไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ ส่งผลให้ตั้งเป้ายอดการใช้งานแพลตฟอร์มที่ 900 คัน ในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 คัน ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า และล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดให้บริการ WHASApp อย่างเป็นทางการ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างลูกค้าและทีมงาน WHA ได้แบบ real-time

สำหรับปี 2568 WHA Digital เร่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจต่างๆ ใน WHA Group ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่าง AI และ IoT ซึ่งปัจจุบันมีโครงการ AI Transformation ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 12 โครงการ พร้อมตั้งเป้าหมายในการพัฒนา 5 แอปพลิเคชันใหม่สำหรับให้บริการภายใน WHA Group ภายใน ปี 2568

จากแผนการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2568 ส่งผลให้บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท สำหรับ 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจโลจิสติกส์ จำนวน 4,000 ล้านบาท ธุรกิจโมบิลิตี้ จำนวน 1,500 ล้านบาท ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 9,900 ล้านบาท ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน จำนวน 4,500 ล้านบาท และธุรกิจดิจิทัล จำนวน 450 ล้านบาท ซึ่งงบดังกล่าว สอดรับกับแผนการลงทุน 5 ปี ( 2568-2572 ) ของ WHA Group ที่วางยุทธ์ศาสตร์การลงทุน ใน 5 กลุ่มธุรกิจภายใต้งบลงทุนรวม 119,000 ล้านบาท

“จากความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจของ WHA Group ที่ยึดหลัก ESG และการดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ล่าสุดนี้ บริษัทฯ ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ S&P Global Sustainability Yearbook ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 3 และได้รับคะแนนสูงสุดอันดับ 1 ตามการจัดอันดับความยั่งยืนของ S&P Global หรือ Top 1% S&P Global CSA Score ปี 2567 ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Management & Development)” คุณจรีพร กล่าวทิ้งท้าย
 

LastUpdate 21/02/2568 22:34:56 โดย : Admin
23-02-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ February 23, 2025, 4:01 am