เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล อินโนเวสท์วิเคราะห์ "ปัจจัยกดดันผ่อนคลาย ฟื้นตัวได้ต่อ"



คาด SET ฟื้นตัวขึ้นได้ต่อ ปัจจัยกดดันจากการขึ้นภาษีของ ปธน. ทรัมป์ผ่อนคลายลง ประกอบกับความคาดหวัง Fed ลด ดอกเบี้ยมีมากขึ้น รวมทั้งเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า-บาทแข็ง คาดจะทำให้ Fund Flow ไหลกลับเข้าช่วยหนุนตลาด ประเมินแนวรับที่ 1200 - 1190 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1215 - 1225 จุด

ประเด็นสำคัญ

• จีนเผยแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 สู่เป้าหมาย 5% ผ่านการเพิ่มการขาดดุลงบฯ เป็น 4% ของ GDP สูงที่สุดในรอบ 4 ปี และ การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ผ่านการออกพันธบัตรพิเศษ 1.3 ล้านล้านหยวน และการอนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นออกพันธบัตรใหม่อีก 4.4 ล้านล้านหยวน

• ปธน.ทรัมป์ตกลงที่จะเลื่อนการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากแคนาดาและเม็กซิโกออกไปอีก 1 เดือน ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) เพื่อแลกกับการขยายการผลิตในสหรัฐฯ

• ปธน. ทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสถึงการเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าและภาษีตอบโต้, การยุติ Chip Acts โดยมองการเก็บภาษีนำเข้าและนโยบาย American First จะดึงดูดการลงทุนสู่สหรัฐฯ การเจรจาสันติภาพกับยูเครนอีกครั้งและได้รับสัญญาณที่ดีจากรัสเซีย

• ADP เผยการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯ ก.พ. เพิ่มขึ้น 7.7 หมื่นตำแหน่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดและต่ำที่สุดนับตั้งแต่ ก.ค. 2567 ส่วน PMI ภาคบริการ โดย ISM เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนสู่ 53.5 สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้

• EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ในสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ เป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติมต่อราคาน้ำมันดิบที่ปรับลง 4 วันติดต่อกันจากความกังวลสงครามการค้าอาจกระทบความต้องการน้ำมัน และ OPEC+ ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตตามแผน

• รมช. คลังเตรียมเสนอครม. พิจารณาปรับปรุงโครงสร้างภาษี PHEV โดยเก็บแบบขั้นบันได คาดหวังให้บังคับใช้ทันในปี 2569

• กกร. ประเมินเศรษฐกิจเผชิญความเสี่ยงสูงจากสงครามการค้า ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังเปราะบาง การรับมือการเปลี่ยนแปลงการค้าโลก, เร่งเบิกจ่ายงบฯ, ลดต้นทุน และยกระดับการผลิตมีความจำเป็น

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมอง SET ฟื้นตัวจำกัด จากความกังวลเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศและการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในระดับต่ำและฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบในเชิง Valuation จะพบว่า ระดับ PER ของ SET ที่ 12-13 เท่า อาจจะดูเหมือนสูงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค แต่มองว่าสัดส่วนภาคบริการของไทยมีมากกว่าเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง แม้จะมีสัญญาณชะลอตัวลงแต่จะได้รับแรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดเช่นเดียวกับธนาคารกลาง ECB ที่ตลาดคาดจะมีมติปรับลดดอกเบี้ย 25bps สู่ 2.50% ส่วนเศรษฐกิจจีนยังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการของรัฐ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์

มอง SET จะฟื้นตัวจำกัด กังวลปัจจัยในประเทศและสงครามการค้า กลยุทธ์ลงทุนแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้

1. หุ้น Undervalued เป็นหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรสามารถเติบโตได้ 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีโอกาสซื้อหุ้นคืน (มี PBV < 1 เท่า) 3) Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 2568F ต่ำกว่า -1SD) 4) SETESG Rating ระดับ A-AAA และมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ แนะนำ CPALL BDMS MTC MINT BTG

2. หุ้นปันผลคุณภาพดี โดย 1) มีสถิติจ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปีขึ้นไป และมี SETESG Rating ระดับ A-AAA 2) คาดจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักปันผลระหว่างกาลแล้ว ยังให้ Div. Yield เกิน 4% และ Div. Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว และ 3) ปี 2568 ผลประกอบการยังแข็งแกร่ง และราคาหุ้นยังมี Upside เกิน 15% แนะนำ AP KTB BBL PTT SPALI KBANK

3. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนกำไร 1Q68 ที่คาดจะเติบโต YoY และ QoQ และมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC

4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไร 1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่ม REITs (LHHOTEL DIF), กลุ่มค้าปลีก (CPALL CPAXT) กลุ่มอสังหาฯ (AP SIRI), กลุ่มธนาคาร (TISCO KKP), กลุ่มเช่าซื้อ (MTC TIDLOR) และกลุ่มไฟฟ้า (GULF GPSC) และ 2) หุ้นที่คาดได้ Sentiment บวกจากงาน Opp. Day ซึ่งคาดโทนประชุมเป็นบวกในสัปดาห์หน้า CPALL BCP AMATA KLINIQ

DAILY TOP PICKS

AAV: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากเงินบาทที่แข็งค่าและต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินที่ลดลงซึ่งจะช่วยมาร์จิ้นกว้างขึ้น อีกทั้งค่าโดยสารเฉลี่ยที่แข็งแกร่งจากตลาดต่างประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรปกติจะกลับมาเติบโตในระดับปกติที่ 9%YoY หลังจากฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งไปแล้วในปี 2567  

BBL: มองราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวตามภาวะตลาดที่ดีขึ้น และยังเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เนื่องจากมีงบดุลแข็งแกร่งที่สุด สินเชื่อเติบโตมากที่สุด ความเสี่ยงเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุด และ Valuation ถูกที่สุดในกลุ่ม ขณะเดียวกันยังจัดเป็นหุ้นปันผลคุณภาพดี โดยจะมีการจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 6.50 บาท (XD 23 เม.ย.) คิดเป็น Div. Yield 4.4%
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 06 มี.ค. 2568 เวลา : 12:14:40
10-04-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 10, 2025, 2:12 am