
คาด SET ฟื้นตัวได้บ้างแต่กรอบบนจำกัด ตลาดยังรอปัจจัยหนุนใหม่ จับตาการประชุม Fed ในวันนี้และพรุ่งนี้ ส่วนในประเทศติดตามการประชุม ครม. และการประชุมสมาคมธนาคารไทย คาดหารือมาตรการปล่อยเงินเข้าสู่ระบบ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการ LTV ประเมินแนวรับที่ 1160 - 1155 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1180 - 1185 จุด
ประเด็นสำคัญ
• OECD ปรับลดคาดการณ์ GDP สหรัฐฯ ปี 2568 และ 2569 ลงสู่ 2.2% และ 1.6% ตามลำดับ กดดันจากนโยบายเก็บภาษีนำเข้าของ ปธน. ทรัมป์, ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนด้านนโยบายต่อการลงทุนภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาคครัวเรือน
• Goldman Sachs ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมัน โดยคาดราคาน้ำมันดิบ Brent จะอยู่ที่ US$71/bbl ใน ธ.ค. 2568 (ลดลง US$5) และราคาเฉลี่ยในปี 2569 ที่ US$68/bbl จากแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ กระทบจากสงครามการค้า และ OPEC+ เตรียมเพิ่มการผลิต
• ยอดค้าปลีกจีนช่วง ม.ค.-ก.พ. 2568 เติบโต 4%YoY สูงกว่าตลาดคาด ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในสินทรัพย์คงทนเติบโต 5.9%YoY และ 4.1%YoY ตามลำดับ สูงกว่าที่ตลาดคาดเช่นกัน
• Bloomberg รายงาน CEO ระดับโลก จาก Qualcomm, Saudi Aramco เป็นต้น เตรียมเข้าพบ ปธน. สี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม China Development Forum (CDF) ในสัปดาห์หน้า และวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน Steve Daines ที่จะพบกับผู้นำระดับสูงของจีน
• BOI อนุมัติส่งเสริมลงทุน 4 โครงการใหญ่ มูลค่ากว่า 2 แสนลบ. ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของ BEM 1.09 แสนลบ. และ 3 โครงการดาต้าเซ็นเตอร์จากไทย (GULF, AIS และ Singapore Telecommunications) จีน และสิงคโปร์ 9 หมื่นลบ.
• นายกฯ เรียก ก.ล.ต.-ตลท.-ดีเอสไอเข้าพบเพื่อหารือสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยและความคืบหน้าการดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุน เน้นย้ำ 4 เรื่องสำคัญ “ติดตามคดีเศรษฐกิจ-ปรับเกณฑ์ซื้อขาย-จัดการเรื่องฟรีโฟลตและบังคับใช้กฎหมาย”
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะฟื้นตัวได้บ้าง หลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรง 16%YTD แย่สุดในตลาดหุ้นทั่วโลกแล้ว เนื่องจากถูกกดดันทั้งจากกังวลสงครามการค้าและขาดปัจจัยหนุนในประเทศ อย่างไรก็ดีมองว่าแรงขายในภาพรวมน่าจะชะลอตัวลง เนื่องจากมีความชัดเจนของมาตรการลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESGX ซึ่งคาดจะจำกัดแรงขายของ LTF และมีความหวังจากเม็ดเงินลงทุนใหม่ที่จะเข้ามาในเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2568 ขณะที่การประชุมนโยบายการเงินสัปดาห์หน้าของ FED, BoE, BoJ คาดไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยยังมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยนโยบาย ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ช่วงสั้นมอง SET จะมีสัญญาณฟื้นตัวได้บ้าง จากแรงขายที่น่าจะชะลอหลังมีความชัดเจนของมาตรการลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESGX กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX คัดเลือกจาก 1) ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 3) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้น SET50 ที่น่าสนใจ ได้แก่ ADVANC BBL BDMS CPALL PTT ส่วนหุ้น SET100 ที่น่าสนใจ ได้แก่ AP BCH BTG
2. หุ้นปันผลคุณภาพดี มีคุณสมบัติ 1) สถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปีขึ้นไป และมี SETESG Ratings ตั้งแต่ระดับ A-AAA 2) คาดจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว ยังให้ Div. Yield สูงเกิน 4% และ Div. Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว และ 3) ปี 2568 ผลประกอบการยังแข็งแกร่ง และราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside เกิน 15% แนะนำ AP KTB BBL SPALI KBANK
3. หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน คัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุน มีคุณสมบัติ 1) ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ YoY 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง (Interest Coverage ratio > 1) 3) Valuation ไม่แพง ปัจจุบันซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) ศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SETESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ CPALL BDMS MTC MINT BTG
DAILY TOP PICKS
PTT: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น และเป็นหนึ่งในเป้าหมายของกองทุน ThaiESG เนื่องจากมี SETESG Rating ระดับ AAA อีกทั้งยังมีจุดแข็ง ดังนี้ 1) ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 3) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2568 สูงราว 7%
CPAXT: มองเป็นหุ้น Defensive ซึ่งเติบโตได้ต่อเนื่อง 1Q68 คาดกำไรจะเติบโต YoY จากยอดขายสาขาเดิมและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรจะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ที่ 18% ทั้งนี้หลังควบรวมกิจการคาด synergy จะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นในปี 2568-70 อีกทั้งมีเงินปันผลจ่ายจากกำไร 2H67 ที่หุ้นละ 0.53 บาท (XD 8 เม.ย.) คิดเป็น Div. Yield 1.9%
ข่าวเด่น