แบงก์-นอนแบงก์
SCB EIC ฉายภาพ "จุดเพ็งเล็ง" ทรัมป์จ้องเล่นงานไทย ชี้ทางรอดธุรกิจไทยฝ่าสงครามการค้า แต่เผยไทยยังติดบ่วง "แผลเป็นเศรษฐกิจ" ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างเดิม ยังไม่ได้รับการแก้ไข


  

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) พร้อมด้วย ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค และ นางสาวปราณิดา ศยามานนท์ ผู้อำนวยการ ผู้บริหารฝ่าย Industry Analysis  SCB EIC ร่วมให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนในหัวข้อ “รับมือความท้าทายทรัมป์ 2.0 อย่างไร เมื่อไทยยังมีแผลเป็นเศรษฐกิจ” โดยระบุว่า การกลับมารับตำแหน่งสมัยที่ 2 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เร่งให้ความไม่แน่นอนในโลกสูงขึ้น นโยบายทรัมป์ 2.0 กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกใหม่ โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะมีผลกดดันเศรษฐกิจโลกและกระทบต่อการตัดสินใจดำเนินงานของธุรกิจทั่วโลก มองไปข้างหน้า SCB EIC ประเมินว่า สหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายลักษณะคาดการณ์ยาก พร้อมจะปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับการต่อรอง ในกรณีฐานมองว่าสหรัฐฯ จะใช้นโยบายขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) แทนนโยบาย Universal Tariffs ที่เคยหาเสียงไว้ และใช้นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าเฉพาะสินค้าหรือบางประเทศเพิ่มเติม (Specific Tariffs) เช่น สินค้ารถยนต์ เหล็กและอะลูมิเนียม หรือสินค้าจากประเทศจีนและแคนาดา

 
SCB EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้น จะทำให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นราว 11% จากอัตราเฉลี่ยเดิม ยิ่งหากประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ด้วยแล้ว คาดว่าสงครามการค้ารอบใหม่นี้ จะกระทบเศรษฐกิจโลกรวม –1.3% และเร่งให้เงินเฟ้อโลกเพิ่ม 0.5% ในระยะปานกลาง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับผลลบทางเศรษฐกิจสุทธิน้อยกว่า แต่เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะเร่งตัวสูงกว่าจากผลกระทบนโยบายขึ้นภาษีนำเข้า

 
SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวชะลอลงบ้างที่ 2.6% (เทียบกับ 2.7% ในปีก่อน) จากผลสงครามการค้าที่จะรุนแรงขึ้น ขณะที่ประเทศต่าง ๆ เริ่มออกนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยลดผลกระทบจากภายนอกมากขึ้น เช่น ยุโรปและจีนวางแผนขาดดุลการคลังมากขึ้น โดยเยอรมนีมีแผนขยายกฎเกณฑ์การคลังด้านหนี้ (Debt Break) เพื่อเพิ่มงบประมาณป้องกันประเทศ พร้อมตั้งกองทุน 500,000 ล้านยูโร เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐตลอด 10 ปีข้างหน้า ด้านจีนวางแผนขาดดุลการคลัง 4% ของ GDP สูงเป็นประวัติการณ์ อนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นก่อหนี้มากขึ้น และจะกู้เงิน 5 แสนล้านหยวนเพื่อเพิ่มทุนให้ธนาคารของรัฐ

นอกจากนี้ นโยบายการเงินประเทศเศรษฐกิจหลักจะแตกต่างกันและไม่แน่นอนสูง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 50 BPS ในปีนี้ตามที่เคยประเมินไว้ แม้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังสูงและเสี่ยงเร่งขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้าของตัวเอง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณชะลอลงจากผลกระทบนโยบาย Trump 2.0 และความไม่แน่นอนของนโยบายที่สูงขึ้น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อเนื่องมากกว่า Fed รวม 100 BPS ในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าและเงินเฟ้อต่ำกว่า ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้รวม 50 BPS เพื่อช่วยพยุงค่าเงินเยนอ่อน และเงินเฟ้อญี่ปุ่นทรงตัวสูงกว่ากรอบเงินเฟ้อได้อย่างยั่งยืนขึ้น

 
SCB EIC ยังคงมุมมองต่อประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่ 2.4% ชะลอตัวลงจากปีก่อนที่ 2.5% โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ประมาณการณ์ ปรับลดลงเหลือ 0.7% จากเดิมมองไว้ที่ 1% จากราคาพลังงานในประเทศและราคาสินค้าเกษตรที่ปรับลดลง ตลอดจนอุปสงค์ที่ซบเซา โดยรายได้ภาคการเกษตรมีแนวโน้มกลับมาหดตัวในปีนี้ตามทิศทางราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ลดลง จึงไม่สามารถเป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดรถยนต์มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยแรงฉุดสำคัญมาจากตลาดรถกระบะที่การขยายตัวติดลบมาก ประกอบกับอุปสงค์โดยรวมเปราะบาง

โดยการบริโภคภาคเอกชน ชะลอตัวลง อยู่ที่ 2.6% จาก 4.4% ในปีก่อน เช่นเดียวกับการบริโภคภาครัฐ ขยายตัว 1.4% ลดต่ำลงจากปีก่อนที่ 2.5% การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.9% จากปีก่อน ติดลบ 1.6% สอดคล้องกับการลงทุนภาครัฐ ขยายตัว 5.0% จากปีก่อน 4.8% ขณะที่มูลค่าส่งออกสินค้า ลดต่ำลงเติบโตเพียง 1.6% จากปีก่อน 5.8% มูลค่านำเข้าสินค้า 3.0% จาก 6.3% ในปีก่อน เนื่องจากมีการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ ทำให้ฐานปีก่อนสูง ปีนี้จึงน่าจะชะลอตัวลง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 38.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 35.5 ล้านคน อย่างไรก็ตาม แม้นักท่องเที่ยวโดยรวมจะกลับมาใกล้เคียงเดิมแล้ว แต่มาพร้อมความแตกต่างทั้งสัดส่วนการใช้จ่าย และการฟื้นตัวในแต่ละพื้นที่ โดยสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนยังชะลอตัวอยู่ กระทบยอดขายในห้างสรรพสินค้าที่ลดลง โรงแรมระดับ 2 ดาว และ 3 ดาว ที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเข้าพัก ยังไม่ฟื้นตัว แต่โรงแรมระดับ 4 ดาว และ 5 ดาว ที่นักท่องเที่ยวจากยุโรปและรัสเซียนิยมเข้าพัก ฟื้นตัวขึ้น นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า นักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย จะฟื้นตัวได้เร็วกว่านักท่องเที่ยวจีน

 
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะโครงการ 10,000 บาทเฟสที่เหลือ และการลงทุนภาครัฐที่จะขยายตัวต่อเนื่องจากมาตรการเร่งเบิกจ่าย แต่ทั้งนี้ผลกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการใช้เงินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สำหรับนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนของไทย เศรษฐกิจไทยจึงมีแนวโน้มได้รับผลกระทบอย่างมากจากสงครามการค้าทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะหลายปีที่ผ่านมาการส่งออกของไทยพึ่งตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น พร้อมกับการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้นด้วย หลังจากจีนมีแผนทยอยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ กระจายไปตลาดอื่น

ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอกสูงขึ้น ภาคการผลิตไทยยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในปีนี้ ส่วนหนึ่งเพราะนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะสินค้าทุนและวัตถุดิบ ประกอบกับเทรนด์ธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในไทยเริ่มเปลี่ยนไป จากการย้ายฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ เปลี่ยนเป็นการเข้ามาแข่งขันกับตลาดในประเทศมากขึ้น ภาพการลงทุนภาคเอกชนแม้จะกลับมาขยายตัวในปีนี้จากที่หดตัวแรงในปีก่อน แต่เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าทุนตามกระแสการลงทุนทางตรงจากต่างชาติเป็นหลัก ขณะที่การลงทุนในประเทศด้านอื่นยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก
 
 
SCB EIC ตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าอยู่ในกลุ่มรั้งท้ายของโลก สะท้อนอาการแผลเป็นโควิดหลายมิติ ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างเดิมที่ยังไม่ได้แก้ไข ทั้งจาก (1) แผลเป็นภาคธุรกิจ : ภาพรวมยังเปราะบาง ธุรกิจปิดกิจการเพิ่มต่อเนื่อง รายได้ธุรกิจฟื้นแบบ K-Shape กว้างขึ้น ขณะที่สัดส่วนจำนวนบริษัทผีดิบ (Zombie firm) ยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิด โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก 

(2) แผลเป็นตลาดแรงงาน : แม้ภาพรวมตลาดแรงงานไทยทยอยฟื้นตัวในเชิงปริมาณ โดยอัตราการว่างงานลดลงต่ำกว่าระดับก่อนโควิด จำนวนชั่วโมงทำงานเฉลี่ยกลับมาสูงเป็นปกติแล้ว แต่ค่าจ้างแรงงานกลับขยายตัวต่ำกว่าอดีตมาก สะท้อนอำนาจกำลังซื้อยังไม่กลับไปที่เดิม

 
ทั้งนี้ แม้การจ้างงานจะดีขึ้นต่อเนื่อง แต่คุณภาพการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับแย่ลง โดยแรงงานนอกระบบมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ราว 53% แต่มีรายได้ต่ำกว่าแรงงานในระบบเกือบเท่าตัว

(3) แผลเป็นภาคครัวเรือน : สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ที่ยังสูงเกือบ 90% แม้จะทยอยลดลงบ้าง แต่ยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิด สาเหตุหลักมาจากสินเชื่อใหม่หดตัว ทำให้แม้การบริโภคภาคเอกชนปีนี้จะมีปัจจัยบวกชั่วคราวจากโครงการเงินโอน 10,000 บาทเฟสที่เหลือ แต่ปัจจัยรายได้ฟื้นช้า หนี้สูง และการเข้าถึงสินเชื่อที่ลดลง จะยังคงกดดันการบริโภคอยู่

(4) แผลเป็นภาคการคลัง : เห็นได้จากหนี้สาธารณะสูงขึ้นมากเทียบก่อนโควิดและมีแนวโน้มเข้าใกล้เพดานหนี้ 70% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แม้รัฐบาลจะขาดดุลสูงในปีงบประมาณ 2568 นี้ แต่กรอบงบประมาณจะสะท้อนข้อจำกัดการคลังในระยะปานกลางมากขึ้นเรื่อย ๆ  จากปัจจัยพื้นฐานเชิงโครงสร้างของประเทศที่อ่อนแอเช่นนี้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวแบบ K-Shape และมีแนวโน้มเติบโตต่ำในระยะข้างหน้า

ทั้งนี้ SCB EIC ประเมิน กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ไปอยู่ที่ 1.5% ณ สิ้นปี สาเหตุจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1) ภาวะการเงินจะยังตึงตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงทางการเงินสูง สถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อรายย่อย ขณะที่การขายหุ้นกู้ของธุรกิจที่มีอันดับเครดิตไม่สูงเริ่มมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น และดัชนีค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วเทียบภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา และ 2) เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท่ามกลางความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศเช่นนี้

 
ในระยะข้างหน้า SCB EIC มองว่า ไทยต้อง “เร่งสร้างความเข้มแข็งจากภายใน” ทั้งในระยะสั้นและยาวควบคู่กันไป พร้อมการสื่อสารสาธารณะ ในการผลักดันนโยบายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้ทรัพยากรภาครัฐให้ตอบโจทย์การปรับตัวของประเทศ โดยเร่งดำเนินการผ่านนโยบายระยะสั้น มุ่งลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนภายนอก อาทิ การเปิดเจรจาการค้ากับสหรัฐ พร้อมเตรียมแผนลดผลกระทบ,แก้ปัญหาการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากสินค้านำเข้าและธุรกิจต่างชาติ,ปรับกรอบนโยบายมหภาคให้สนับสนุนต่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ขณะที่นโยบายระยะกลางและระยะยาว จะต้องมุ่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศในด้านต่าง ๆ และยกระดับขีดความสามารถภาครัฐ

มุมมองผลกระทบต่อธุรกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะจากนโยบาย Reciprocal Tariffs และ Specific Tariffs ของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะกระทบกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน เช่น ยางล้อ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ซึ่งประเด็นเหล่านี้รัฐบาลไทยจะต้องมีการเจรจาต่อรองกับสหรัฐ

 
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาผลกระทบทางอ้อมผ่านคู่ค้าสำคัญ (เช่น จีน) ในอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานการผลิต เพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง รวมถึงผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ นอกจากนี้ ปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาไทยอาจรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะกระทบผู้ผลิตในประเทศไทยที่เดิมยอดขายและรายได้ลดลงอยู่แล้ว รวมถึงสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ไทยอาจต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นหลังการเจรจาการค้า ซึ่งคาดว่าอาจเป็นความเสี่ยงที่ซ้ำเติมให้การผลิตในบางอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาผลกระทบเชิงบวกในบางธุรกิจ ที่การส่งออกไทยมีโอกาสรับอานิสงส์เข้าไปเจาะตลาดสหรัฐฯ แทนจีนและเม็กซิโก ที่สหรัฐลดการพึ่งพาและหันมานำเข้าจากไทย อาทิ หมวดสินค้าฮาร์ดดิสท์ ไดร์ฟ อาหารแปรรูป ยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางพารา เช่น ไม้ยาง จักรยานยนต์ 

ดร.ยรรยงกล่าวถึงจุดเพ็งเล็ง ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ จะใช้มาตรการภาษีกีดกันสินค้านำเข้าจากไทย 1. ประเทศไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐถึง 45.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ทรัมป์เพ่งเล็งอาจะใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้ากับไทย 2. ทรัมป์มองว่า ไทยเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐสูงเกินไป เป็นการกีดกันสินค้าจากสหรัฐ 3. ประเทศไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐเยอะทำให้ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูง ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งเป็นคู่กรณีกับสหรัฐ ในสัดส่วนที่สูงมากทั้งสินค้าทุนและวัตถุดิบ 4.ในช่วงหลายปีก่อน ธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในไทยส่วนหนึ่งเพื่อตั้งฐานการส่งออกไปยังสหรัฐ ทั้งในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ 

 
แต่ทั้งนี้มีข้อน่าสังเกตว่า กรณีทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในไทย ปัจจุบันกลับเข้ามาแข่งขันตลาดในประเทศกับธุรกิจไทยเอง ทำให้ธุรกิจไทยที่ขายสินค้าประเภทเดียวกันประสบปัญหาด้านยอดขายและรายได้ที่ลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้ ดร.ยรรยง CEO SCB EIC กล่าวแนะนำผู้ประกอบการไทยว่า ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้กลยุทธ์ 4P ในการปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากนโยบายของ Trump 2.0 และจากปัญหาโครงสร้างการผลิตที่ยังอ่อนแอ ประกอบด้วย 1) Product : พัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์/แตกต่างและเพิ่มมูลค่า 2) Place : กระจายตลาด 3) Preparedness : บริหารความเสี่ยงทุกมิติ ทั้งห่วงโซ่อุปทานและงบการเงิน 4) Productivity : เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

LastUpdate 19/03/2568 10:18:40 โดย : Admin
11-04-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 11, 2025, 4:26 pm