หุ้นทอง
นวัตกรรมทางการเงินเพื่อสร้างความมั่นคงในวัยเกษียณสำหรับคนไทยทุกคน


ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านการเกษียณ โดยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2568 ขณะที่ระบบบำนาญปัจจุบันครอบคลุมเพียง 40% ของกำลังแรงงาน และอัตราทดแทนรายได้ต่ำเพียง 30-40% นอกจากนี้ กองทุนประกันสังคมยังเสี่ยงประสบปัญหาทางการเงินภายในปี 2577 และคนไทยกว่า 60% ไม่มีการวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณอย่างเป็นระบบ

 
Retirement Security Bonds (RSB) คือพันธบัตรที่ออกแบบเฉพาะเพื่อสร้างรายได้ในวัยเกษียณ โดยเน้นความมั่นคงของรายได้มากกว่ามูลค่าทรัพย์สิน มีลักษณะเด่นคือเริ่มจ่ายเมื่อถึงวันเกษียณ จ่ายผลตอบแทนเท่ากันทุกปีนาน 20-25 ปี ปรับตามดัชนีเงินเฟ้อและ GDP ต่อหัว มูลค่าเริ่มต้นต่ำ และการคำนวณผลตอบแทนทำได้ง่าย ทำให้เหมาะกับผู้ลงทุนทุกระดับโดยเฉพาะแรงงานนอกระบบซึ่งมีประมาณ 21 ล้านคนในไทย

RSB มีประโยชน์หลายด้าน ทั้งการเพิ่มความครอบคลุมระบบบำนาญ ลดความซับซ้อนในการวางแผนเกษียณ จัดการความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการลงทุนต่อ รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและตลาดทุนของประเทศ ปัจจัยความสำเร็จในการนำ RSB มาใช้ในไทยประกอบด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ การให้ความรู้และการเข้าถึง การบูรณาการกับระบบบำนาญที่มีอยู่ และการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่โปร่งใส

หลายประเทศได้นำ RSB มาใช้แล้วอย่างประสบความสำเร็จ ทั้งบราซิลที่มีมูลค่าเริ่มต้นต่ำเพียง 175 บาท เกาหลีใต้ที่เพิ่มความครอบคลุมได้ 20% ออสเตรเลียที่ลดความเสี่ยงจากการมีอายุยืน และอินเดียที่เน้นการเข้าถึงผ่านมือถือจนมีนักลงทุนรายย่อยกว่า 1 ล้านคน โดย 85% เป็นผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินมาก่อน การนำ RSB มาใช้ในไทยจะเป็นก้าวสำคัญในการปฏิรูประบบการเงินเพื่อวัยเกษียณและช่วยให้ประเทศรับมือกับสังคมผู้สูงอายุได้อย่างยั่งยืน

ความท้าทายด้านการเกษียณในประเทศไทย

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางประชากรศาสตร์ครั้งใหญ่ ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า ในปี 2568 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด และจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 30% ในปี 2583 การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินเพื่อวัยเกษียณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะเดียวกัน ระบบบำนาญของประเทศไทยยังมีข้อจำกัดที่สำคัญ กองทุนประกันสังคมซึ่งเป็นเสาหลักของระบบบำนาญภาครัฐ มีความเสี่ยงที่จะประสบปัญหาความยั่งยืนทางการเงินในระยะยาว โดยคาดการณ์ว่ากองทุนจะเริ่มประสบปัญหาเงินไม่เพียงพอจ่ายสิทธิประโยชน์ภายในปี 2577 หากไม่มีการปฏิรูปที่มีประสิทธิภาพ

กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งดูแลบำนาญข้าราชการ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งเป็นระบบบำนาญภาคเอกชน ครอบคลุมประชากรเพียงส่วนน้อย ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาการออมส่วนบุคคลเพื่อวัยเกษียณเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม การศึกษาของศูนย์วิจัยด้านเศรษฐกิจและธุรกิจ (CEBR) พบว่าคนไทยกว่า 60% ไม่มีการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณอย่างเป็นระบบ

เมื่อพิจารณาภาพรวมของระบบการเงินเพื่อวัยเกษียณในปัจจุบัน พบว่ามีความท้าทายหลักใน 3 ด้าน:

ความครอบคลุมที่ไม่เพียงพอ: ระบบบำนาญภาครัฐและเอกชนครอบคลุมแรงงานเพียงประมาณ 40% ของกำลังแรงงานทั้งหมด

อัตราทดแทนรายได้ต่ำ: บำนาญที่ได้รับจากระบบปัจจุบันทดแทนรายได้เพียง 30-40% ของรายได้ก่อนเกษียณโดยเฉลี่ย ซึ่งต่ำกว่าระดับที่แนะนำโดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศที่ 50-70%

ความรู้ทางการเงินและการลงทุนที่จำกัด: ประชาชนทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนที่จำกัด ทำให้การตัดสินใจลงทุนเพื่อวัยเกษียณไม่มีประสิทธิภาพ

จากความท้าทายดังกล่าว จึงมีแนวคิดในการนำเสนอนวัตกรรมทางการเงินที่จะช่วยแก้ไขปัญหา โดยการนำเสนอ "Retirement Security Bonds" หรือ RSB ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อตอบโจทย์การสร้างรายได้ในวัยเกษียณอย่างยั่งยืน ซึ่งมีหลายประเทศเริ่มนำมาใช้ เช่น บราซิล เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และ อินเดีย เป็นต้น

Retirement Security Bonds (RSB) คืออะไร

Retirement Security Bonds (RSB) คือพันธบัตรที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อตอบโจทย์การสร้างรายได้ในวัยเกษียณ ซึ่งแตกต่างจากพันธบัตรทั่วไปในแง่ของโครงสร้างกระแสเงินสดที่ได้รับ แนวคิดหลักของ RSB คือการเน้นความมั่นคงของรายได้ (Income Security) มากกว่าการเน้นมูลค่าทรัพย์สิน (Asset Value)

ศาสตราจารย์ Robert C. Merton ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์และผู้คิดค้นแนวคิด RSB กล่าวไว้ว่า "เป้าหมายของการวางแผนเกษียณไม่ใช่การมีเงินก้อนใหญ่ที่สุดเมื่อเกษียณ แต่เป็นการมีรายได้ที่เพียงพอและสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาหลังเกษียณ"

แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นว่า RSB เน้นการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของการวางแผนเกษียณ คือ การสร้างรายได้ที่มั่นคงและคาดการณ์ได้ แทนที่จะเน้นการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินซึ่งอาจไม่สัมพันธ์กับความต้องการรายได้ในวัยเกษียณ

ลักษณะเฉพาะของ RSB

RSB มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากพันธบัตรทั่วไปหรือการลงทุนอื่นๆ ดังนี้:

การเริ่มจ่ายแบบล่าช้า (Forward-Starting): RSB จะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนใดๆ จนกว่าจะถึงวันเกษียณหรือวันที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นวันที่ผู้ลงทุนคาดว่าจะเกษียณ

การจ่ายแบบสม่ำเสมอ (Level Payments): หลังจากถึงวันเริ่มจ่าย RSB จะจ่ายผลตอบแทนในจำนวนที่เท่ากันทุกปีเป็นระยะเวลา 20-25 ปี โดยไม่มีการคืนเงินต้นแบบก้อนใหญ่ในวันครบกำหนด

การปรับตามดัชนี (Indexation): ผลตอบแทนของ RSB จะปรับตามดัชนีที่สะท้อนค่าครองชีพ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัว (GDP per capita) เพื่อรักษาอำนาจซื้อที่แท้จริง

มูลค่าเริ่มต้นต่ำ (Small Denominations): RSB จะมีมูลค่าเริ่มต้นที่ต่ำ (เช่น 1,000 บาท) เพื่อให้ผู้ลงทุนทุกระดับสามารถเข้าถึงได้

ความเรียบง่ายในการคำนวณ (Simplicity): การคำนวณจำนวน RSB ที่ต้องการซื้อเพื่อให้ได้รายได้ตามเป้าหมายทำได้โดยง่าย โดยการหารรายได้ที่ต้องการด้วยผลตอบแทนต่อหน่วยของ RSB

 
ประโยชน์ของ RSB ต่อระบบการเงินเพื่อวัยเกษียณในประเทศไทย 

การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบ: RSB มีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการเงินเพื่อวัยเกษียณในประเทศไทย ดังนี้

เพิ่มความครอบคลุมและการเข้าถึง: ด้วยมูลค่าเริ่มต้นที่ต่ำและความเรียบง่ายในการเข้าใจ RSB สามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่ปัจจุบันไม่ได้อยู่ในระบบบำนาญใดๆ โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบและผู้ประกอบอาชีพอิสระซึ่งมีประมาณ 21 ล้านคนในประเทศไทย หรือคิดเป็นประมาณ 50% ของกำลังแรงงานทั้งหมด การเพิ่มความครอบคลุมนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการวางแผนเกษียณที่มีคุณภาพ

ลดความซับซ้อนในการวางแผนเกษียณ: การศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการวางแผนเกษียณคือความซับซ้อนของเครื่องมือทางการเงินที่มีอยู่ RSB สามารถช่วยลดความซับซ้อนนี้ โดยการออกแบบที่ตรงไปตรงมาและเข้าใจง่าย การคำนวณที่ไม่ซับซ้อนทำให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนและรายได้ที่จะได้รับในอนาคตได้อย่างชัดเจน 

ปรับปรุงการจัดการความเสี่ยง: RSB ช่วยจัดการความเสี่ยงสำคัญในการวางแผนเกษียณ ได้แก่

ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ: ด้วยการปรับตามดัชนีราคาผู้บริโภคและการเติบโตของ GDP ต่อหัวทำให้รายได้ที่ได้รับสามารถรักษาอำนาจซื้อที่แท้จริงได้
 
ความเสี่ยงจากการลงทุนต่อ: ไม่มีความเสี่ยงจากการลงทุนซ้ำ (Reinvestment Risk) ซึ่งเกิดจากการที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดเปลี่ยนแปลงไป
 
ความเสี่ยงจากการมีอายุยืน: แม้ RSB จะไม่ได้ครอบคลุมความเสี่ยงด้านอายุยืนโดยตรง แต่สามารถออกแบบให้มีระยะเวลาการจ่ายที่ยาวนานพอ (เช่น 25 ปี) เพื่อครอบคลุมอายุขัยเฉลี่ย และสามารถบูรณาการกับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญได้ 

ประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: RSB สร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายในระบบการเงินเพื่อวัยเกษียณ
 

 
การสนับสนุนเป้าหมายเชิงนโยบายอื่นๆ: นอกจากประโยชน์โดยตรงต่อระบบการเงินเพื่อวัยเกษียณ RSB ยังสามารถสนับสนุนเป้าหมายเชิงนโยบายอื่นๆ ของประเทศไทย ได้แก่
 
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: เงินที่ระดมได้จาก RSB สามารถนำไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบการจ่ายของ RSB ที่มีลักษณะเป็นการจ่ายในระยะยาวเช่นกัน ความสอดคล้องนี้ช่วยลดความเสี่ยงด้านการจับคู่กระแสเงินสด (Cash Flow Matching) ของรัฐบาล
 
การพัฒนาตลาดทุน: RSB จะช่วยเพิ่มความลึกและสภาพคล่องของตลาดพันธบัตรในประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนของพันธบัตรระยะยาว ซึ่งปัจจุบันยังมีจำกัด การมีตราสารหนี้ระยะยาวที่มีคุณภาพจะช่วยพัฒนาเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ที่สมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตลาดทุนโดยรวม
 
การส่งเสริมความรู้ทางการเงิน: การออกแบบของ RSB ที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาจะช่วยส่งเสริมความรู้ทางการเงินของประชาชน โดยเฉพาะในด้านการวางแผนเกษียณ เมื่อประชาชนเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนและรายได้ในอนาคตได้ชัดเจนขึ้น จะช่วยพัฒนาทักษะทางการเงินโดยรวม

ปัจจัยความสำเร็จหลัก (Key Success Factors) ของการนำ RSB มาใช้ในประเทศไทย

การสนับสนุนและความน่าเชื่อถือจากภาครัฐ: รัฐบาลต้องมีเสถียรภาพทางการเงินที่มั่นคงและแสดงความมุ่งมั่นในการรับประกันการจ่ายเงินระยะยาว 
 
การให้ความรู้และการเข้าถึงผลิตภัณฑ์: การให้ความรู้ประชาชนอย่างทั่วถึงเกี่ยวกับประโยชน์ของ RSB และออกแบบให้คนทุกระดับรายได้สามารถลงทุนได้ 
 
การบูรณาการกับระบบบำนาญที่มีอยู่และสิทธิประโยชน์ทางภาษี: สามารถเชื่อมโยงกับระบบประกันสังคมและกองทุนบำเหน็จบำนาญต่างๆ พร้อมมาตรการจูงใจทางภาษีที่เหมาะสม 
 
การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและความยืดหยุ่นของผลิตภัณฑ์: มีกลไกปรับอัตราผลตอบแทนตามเงินเฟ้อที่เหมาะสม และมีความหลากหลายในรูปแบบการลงทุนที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่าง 
 
แพลตฟอร์มดิจิทัลและความโปร่งใส: พัฒนาระบบดิจิทัลที่เข้าถึงง่ายสำหรับการซื้อขายและติดตามผลตอบแทน พร้อมสร้างความโปร่งใสในการกำหนดอัตราผลตอบแทนและการบริหารกองทุน

กรณีศึกษาของ RSB ในต่างประเทศ

ภาครัฐในบางประเทศได้เริ่มนำ RSB มาใช้ในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป ดังจะเห็นได้ว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมีระบบการออมเพื่อการเกษียณที่มั่นคงอยู่แล้ว RSB จะถูกนำมาใช้เพื่อเป็นส่วนเสริมจากระบบการออมปกติ ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาที่มีระบบการออมเพื่อการเกษียณที่ยังไม่ครอบคลุมและเพียงพอ RSB จะถูกนำมาใช้เพื่อเติมเต็มความพร้อมในการเกษียณของประชาชน การนำ RSB มาใช้ในประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศอื่นๆ ได้ ดังนี้

 
ในบริบทของสังคมผู้สูงอายุและความท้าทายด้านการเกษียณในประเทศไทย RSB ไม่เพียงแต่เป็นนวัตกรรมทางการเงิน แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเสมอภาคและความมั่นคงทางการเงินให้กับประชาชนทุกคน 

การนำ RSB มาใช้ในประเทศไทยจะเป็นก้าวสำคัญในการปฏิรูประบบการเงินเพื่อวัยเกษียณ และสามารถเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ด้วยการวางแผนที่รอบคอบและการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ RSB จะช่วยสร้างอนาคตที่มั่นคงทางการเงินให้กับผู้สูงอายุไทย และช่วยให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับความท้าทายของสังคมผู้สูงอายุได้อย่างยั่งยืน

 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 08 เม.ย. 2568 เวลา : 15:59:14
24-05-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 24, 2025, 2:23 pm