เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล อินโนเวสท์วิเคราะห์ "ภาพรวมเป็นบวก สงครามการค้าคลี่คลาย"


คาด SET แกว่งตัวขึ้น ยังคงได้ Sentiment เชิงบวกจากความคาดหวังที่สหรัฐฯ และจีนจะบรรลุข้อตกลงการค้าครั้งใหญ่ รวมทั้งโอกาสที่สหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าจากจีน ขณะที่กลุ่มพลังงานอาจมีแรงกดดันตามราคาน้ำมันที่ลดลงหลัง OPEC+ พิจารณาเพิ่มการผลิตน้ำมันในเดือน มิ.ย. ประเมินแนวรับที่ 1148-1140 จุด แนวต้านที่ 1165-1175 จุด

ประเด็นสำคัญ

• ปธน. ทรัมป์ ส่งสัญญาณพร้อมจะคลี่คลายข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างจีน โดยภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าจีน 145% ถือว่าสูงมาก แต่จะไม่เก็บภาษีที่สูงเช่นนั้นและจะปรับลงต่ำกว่านั้นมาก แต่ไม่ถึงระดับ 0%

• ปธน. ทรัมป์เผยไม่มีเป้าหมายที่จะปลดเจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานเฟดก่อนที่จะครบวาระใน พ.ค. 69 ซึ่งทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงความเป็นอิสระของเฟด

• สมาชิกหลายรายของ OPEC+ ต้องการให้เพิ่มการผลิตน้ำมันต่อเนื่องใน มิ.ย. จาก พ.ค. ที่ได้ประกาศเพิ่ม +411kBD กลุ่ม  OPEC+ จะประชุมในวันที่ 5 พ.ค. เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดกำลังการผลิต

• EIA เผยสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 4.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าตลาดคาด ส่วนสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 244,000 บาร์เรล สวนทางตลาคาดจะลดลง 770,000 บาร์เรล

• คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ปรับ Apple Inc. และ Meta Platform Inc. ฐานละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาดจำนวน 500 และ 200 ล้านยูโร ตามลำดับ ถูกมองเป็นความเสี่ยงถูกตอบโต้โดย ปธน. ทรัมป์

• ตลท. จะเริ่มใช้มาตรการหยุดการซื้อขายอัตโนมัติ (Auto Pause) รายหลักทรัพย์ ตั้งแต่ 6 พ.ค. เพื่อให้นักลงทุนมีเวลาตรวจสอบและจัดการคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีคำสั่งสูงกว่าปกติ ซึ่งจะช่วยป้องกันการจับคู่การซื้อขายที่ผิดปกติและลดความเสี่ยงแก่นักลงทุน

• รมว. คลัง เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจประคอง GDP ขยายตัวตามเป้า 3% หลังผลกระทบภาษีทรัมป์ส่อรุนแรง ประเมินใช้เม็ดเงิน 5 แสนลบ. กระตุ้นผ่านการบริโภค การลงทุนในประเทศ และ Soft Loan

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมอง SET ยังแกว่งตัวผันผวนและการซื้อขายจะเป็นไปอย่างระมัดระวัง เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐที่มีต่อประเทศคู่ค้า รวมทั้งยังต้องติดตามความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้นจะส่งผลกดดันต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและบรรยากาศการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ขณะที่ในประเทศมองยังไร้ปัจจัยบวกใหม่และอยู่ระหว่างจับตาการเข้าเจรจาทางการค้าของรัฐบาลไทยกับสหรัฐ ซึ่งคาดข้อสรุปอาจต้องใช้เวลา 2-3 เดือน ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำให้ “Selective Buy”

ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์

มอง SET แกว่งตัวผันผวนและการซื้อขายยังเป็นไปอย่างระมัดระวัง จากกังวลความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ และรอติดตามการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลัก และ 1 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

1. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY  2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50: ADVANC BBL BDMS CPALL PTT และ SET100: BCH BTG

2. หุ้น Undervalued ซึ่งปัจจุบันซื้อขายที่ PER และ PBV 68F ระดับต่ำกว่า -1SD และมี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ดี YoY และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง อีกทั้งมีศักยภาพจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อยปีละ 3% แนะนำ  BJC CPF AP HMPRO OR

3. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำ หุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย ได้แก่ BCH CPALL CPAXT GULF MTC OR และ TRUE ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร

DAILY TOP PICKS

KTB: มองเป็นหุ้นเด่นกลุ่มธนาคาร โดยมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ เนื่องจากมีสัดส่วนสินเชื่อที่เกี่ยวกับการส่งออกโดยตรงไปสหรัฐน้อยที่สุดในบรรดาธนาคารขนาดใหญ่ มี LLR coverage สูง และคาดให้ Div. Yield น่าสนใจที่ระดับ 7.7% อีกทั้งคาดเป็นหนึ่งในเป้าหมายของกองทุน ThaiESGX เนื่องจากมี SETESG Rating “AAA”

OR: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมัน อีกทั้งยังคาดเป็นหุ้นเป้าหมายของกองทุน ThaiESGX หลังมี SETESG Rating “AAA” ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ 57%YoY จากขาดทุนสต๊อกที่ลดลงในกลุ่มธุรกิจ Mobility และการฟื้นตัวของมาร์จิ้นในกลุ่มธุรกิจ Lifestyle
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 24 เม.ย. 2568 เวลา : 11:36:50
20-05-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ May 20, 2025, 5:52 pm