
วานนี้ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น 1%-3% หลังสหรัฐและจีนได้ข้อสรุปเบื้องต้น โดยสหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าจากจีนจาก 145% มาที่ 30% และจีนจะลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จาก 125% มาที่ 10% ทำให้คาด SET Index มีโอกาสกลับมาแกว่งตัวขึ้นตามหลังหุ้นไทยปิดตลาดวันจันทร์ มีแนวต้านที่มีโอกาสทดสอบที่ 1225/1235-1240 โดยหุ้นที่รับ Fund Flow และหุ้นที่เคยได้รับผลกระทบการค้ามีโอกาสปรับขึ้นรับแรงซื้อเก็งกำไร
ประเด็นสำคัญ
• สหรัฐฯ และจีนได้ข้อสรุปเบื้องต้นจากการเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ เห็นพ้องลดภาษีบางส่วนเป็นเวลา 90 วัน โดยสหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าจากจีนจาก 145% สู่ 30% และจีนจะลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จาก 125% สู่ 10% หนุนบรรยากาศบวกต่อตลาดทุน, ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และราคาทองปรับลง
• รมช. คลังเผยได้เตรียม “พื้นที่ทางการคลัง” หรือมาตรการทางการเงินที่พร้อมใช้สำหรับรับมือความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นและกระทบต่อ ศก. ไทย
• ผู้ว่าฯ ธปท. เผยผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ ต่อไทยจะเริ่มเห็นชัดขึ้นใน 2H68 แนะนำรัฐบาลทบทวนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต พิจารณาความคุ้มค้า ประสิทธิผล และสถานการณ์ปัจจุบัน และเตือนโครงการ Entertainment Complex ส่วนของกาสิโนจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย
• มูลค่าการส่งออกจีน เม.ย. ขยายตัว 8.1%YoY สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ หนุนจากการส่งออกสู่อาเซียนที่ขยายตัวสูงถึง 20.8%YoY ที่ชดเชยการส่งออกสู่สหรัฐฯ ที่หดตัว
• ปธน. ยูเครนประกาศร่วมกับกลุ่มผู้นำชาติยุโรปยื่นคำขาดหยุดยิงกับรัสเซีย 30 วัน เริ่ม 12 พ.ค. และได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
• ปธน. ทรัมป์ ประกาศว่าอินเดียและปากีสถานได้ตกลงหยุดยิงเต็มรูปแบบเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีสหรัฐฯ มีตัวกลาง ช่วยคลายความกังวลต่อกลุ่มท่องเที่ยวและสายการบิน
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากรระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน อย่างไรก็ดีคาด SET ยังมี Upside จำกัด หลังปรับตัวขึ้นมาสะท้อนความคาดหวังเชิงบวกจากการเจรจาทางการค้าไปก่อนหน้านี้จนทำให้ดัชนียืนเหนือระดับ 1200 จุด สูงกว่าก่อนเกิดเหตุการณ์ ปธน. ทรัมป์ประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ประเทศคู่ค้าไปแล้ว อีกทั้งในประเทศยังต้องติดตามการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับไทยที่ยังไม่มีความคืบหน้า และการเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายประกาศงบ 1Q68 ของหุ้น Real Sector ทำให้บรรยากาศลงทุนน่าจะยังเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยมองมีแนวต้านสำคัญบริเวณ 1250 จุด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET มีโอกาสปรับขึ้นขานรับสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากร แต่ Upside ยังจำกัด หลังดัชนีปรับขึ้นสะท้อนภาพบวกไประดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งในประเทศยังไร้ปัจจัยหนุนและอยู่ระหว่างติดตามประกาศงบ 1Q68 กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก และ 2 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Earning Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 1Q68-2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ เลือก ADVANC TRUE BTG CPF CPALL OR
2. หุ้น Undervalued ซึ่งปัจจุบันซื้อขายที่ PER และ PBV 68F ระดับต่ำกว่า -1SD ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ดี YoY และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง แนะนำ GULF MTC CBG SPRC GPSC
3. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50 : ADVANC BDMS CPALL PTT และ SET100 : BCH BTG AP
4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการแนะนำเก็งกำไร สำหรับ 1) หุ้นที่คาดจะประกาศงบ 1Q68 ออกมาเติบโตดี YoY และ QoQ ในสัปดาห์หน้า แนะนำ BTG MTC CPF BEM BCH และ 2) หุ้นที่ได้รับผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐซึ่งคาดราคาหุ้นจะฟื้นตัวเร็ว (High Beta) หากสงครามการค้ามีสัญญาณคลี่คลาย แนะนำ KTB BBL BCP PTT SCCC FTREIT AMATA
DAILY TOP PICKS
KTB : ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากมีโอกาสฟื้นตัวตามภาพรวมตลาด และเป็นหุ้นเด่นกลุ่มธนาคาร โดยมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ มี LLR coverage สูง และคาดให้ Div. Yield น่าสนใจที่ระดับ 7.7% อีกทั้งคาดเป็นหนึ่งในเป้าหมายของกองทุน ThaiESGX หลังมี SETESG Rating “AAA” วันนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกิน 22.80 บาท/หุ้น
SPRC : ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นจากไหลกลับของ Fund Flow และล่าสุดประกาศกำไรสุทธิ 1Q68 ที่ 714 ลบ. ดีกว่าคาด จากค่าการตลาดและปริมาณกลั่นที่เพิ่มขึ้นหลังหยุดซ่อมหน่วย DHTU ขณะที่ 2Q68 คาดกำไรดีขึ้น QoQ หนุนโดยส่วนต่างน้ำมันเบนซิน-น้ำมันดิบหนุน และการกลับมาใช้ SPM ลดต้นทุน วันนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกินหุ้นละ 5.80 บาท/หุ้น
ข่าวเด่น