
เมื่อวานตลาดระหว่างวันมีช่วงอ่อนตัวลง ไปทำจุดต่ำสุดที่ 1207 ก่อนรีบาวด์ขึ้นมาปิดบวก +2.32 จุด แต่แรงซื้อเป็นผลมากจาก DELTA ถึง 7 จุด หากไม่รวมตลาด -4.68 จุด ระยะสั้นยังเป็นการพักฐานหลังขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าเป็นการสร้างฐานต่อ โดยการอ่อนตัวลงมีแนวรับหลักที่ 1205/1200-1195 ต้องไม่หลุดต่ำกว่าจะเป็นการสร้างฐานเพื่อรอขึ้น ส่วนการปรับตัวขึ้นมีแนวต้านที่ 1225/1235 ผ่านได้จะกลับมาแกว่งตัวขึ้นรอบใหม่
ประเด็นสำคัญ
• รมว. คลังเผยได้ส่ง 5 ข้อเสนอต่อผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้แก่ การลดอุปสรรคการค้า, การเพิ่มการนำเข้าสหรัฐฯ, การเปิดตลาดสินค้าเกษตร, การคุมเข้มป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า และการส่งเสริมการลงทุนในสหรัฐฯ รมว. คลังสหรัฐฯ ส่งสัญญาณบวกต่อข้อเสนอดังกล่าว
• รองผู้ว่าฯ ธปท. ส่งสัญญาณเก็บกระสุน หรือ Policy Space ไว้รองรับความเสี่ยงในอนาคต หลัง กนง. ได้ปรับลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งตั้งแต่ปลายปีก่อนสู่ 1.75%
• รมว. คลังเผยกำลังเตรียมการประชุม คกก. นโยบายกระตุ้น ศก. เพื่อทบทวนมาตรการต่างๆ รับมือสถานการณ์การค้าโลก วันนี้จะหารือกับธนาคารภาครัฐเพื่อหามาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกและ SMEs ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟสสามชะลอไปก่อน
• OPEC คงประมาณการขยายตัวอุปสงค์น้ำมันโลกปี 2568 ที่ +1.3 ล้านบาร์เรล/วัน แต่ปรับลดคาดการณ์การเติบโตอุปทานฝั่ง non-OPEC+ เป็นเดือนที่สองติดต่อกันลงสู่ +8.1 แสนบาร์เรล/วัน นำโดยผู้ผลิตน้ำมันสหรัฐฯ ที่คาดจะชะลอการขยายการผลิตลงหลังราคาน้ำดิบปรับลงต่อเนื่อง
• EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ในสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้น +3.45 ล้านบาร์เรล ผิดจากที่ตลาดคาดจะลดลง -2.0 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันสำเร็จรูปลดลง โดยสต็อกเบนซินและดีเซลลดลง -1.02 และ -3.16 ล้านบาร์เรล ตามลำดับ
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากรระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน อย่างไรก็ดีคาด SET ยังมี Upside จำกัด หลังปรับตัวขึ้นมาสะท้อนความคาดหวังเชิงบวกจากการเจรจาทางการค้าไปก่อนหน้านี้จนทำให้ดัชนียืนเหนือระดับ 1200 จุด สูงกว่าก่อนเกิดเหตุการณ์ ปธน. ทรัมป์ประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ประเทศคู่ค้าไปแล้ว อีกทั้งในประเทศยังต้องติดตามการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับไทยที่ยังไม่มีความคืบหน้า และการเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายประกาศงบ 1Q68 ของหุ้น Real Sector ทำให้บรรยากาศลงทุนน่าจะยังเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยมองมีแนวต้านสำคัญบริเวณ 1250 จุด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET มีโอกาสปรับขึ้นขานรับสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากร แต่ Upside ยังจำกัด หลังดัชนีปรับขึ้นสะท้อนภาพบวกไประดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งในประเทศยังไร้ปัจจัยหนุนและอยู่ระหว่างติดตามประกาศงบ 1Q68 กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก และ 1 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Earnings Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 1Q68-2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ เลือก ADVANC TRUE BTG CPF CPALL OR
2. หุ้น Undervalued ซึ่งปัจจุบันซื้อขายที่ PER และ PBV 68F ระดับต่ำกว่า -1SD ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ดี YoY และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง แนะนำ GULF MTC CBG SPRC GPSC
3. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50: ADVANC BDMS CPALL PTT และ SET100: BCH BTG AP
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการแนะนำเก็งกำไรสำหรับหุ้นที่ได้รับผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐซึ่งคาดราคาหุ้นจะฟื้นตัวเร็ว (High Beta) หากสงครามการค้ามีสัญญาณคลี่คลาย แนะนำ KTB BBL BCP PTT SCCC FTREIT AMATA
DAILY TOP PICKS
WHA: มองความกังวลเกี่ยวกับภาษีนำเข้าของสหรัฐที่ผ่อนคลายลงอาจหนุนให้ราคาหุ้นรีบาวด์ อีกทั้งงบ 1Q68 ออกมาดีกว่าเราและตลาดคาด จากมาร์จิ้นที่สูงและภาษีที่ต่ำกว่าคาด ขณะที่แนวโน้ม 2Q68 ดีต่อเนื่อง นอกจากนี้มองมีโอกาสเป็นเป้าหมายกองทุน ThaiESGX หลังมี SET ESG Ratings “AAA” วันนี้แนะนำซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกิน 3.50 บาท/หุ้น
BJC: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากงบ 1Q68 ออกมาดีกว่าคาด และแนวโน้ม 2Q68 ยังดีต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสตลาดจะปรับกำไรเพิ่ม อีกทั้งยังเป็นหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามากนัก และคาดเป็นเป้าหมายของกองทุน ThaiESGX หลังมี SET ESG Ratings “AA” วันนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกิน 24.20 บาท/หุ้น
ข่าวเด่น