
คาด SET มีโอกาสชะลอการปรับตัวลงมาที่แนวรับ หลังเข้าใกล้แนวรับสำคัญ 1185/1180 อย่างไรก็ดี หากหลุดต่ำกว่ามีโอกาสปรับลงได้ต่อ ขณะที่คาดหวังการฟื้นตัวของดัชนียังจำกัดอยู่ที่ 1205/1215 โดยมองตลาดยังอยู่ระหว่างติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับไทย และการประชุมบอร์ดนโยบาย ศก. เพื่อรับมือผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐในวันที่ 19 พ.ค.
ประเด็นสำคัญ
• ประธานเฟดเผยดอกเบี้ยระยะยาวมีแนวโน้มสูงขึ้น จากเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง และนโยบายการเงินกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งทำให้การลดดอกเบี้ยทำได้ยากขึ้น สอดคล้องมุมมอง INVX
• สหรัฐเผย PPI เม.ย. ปรับขึ้น 2.4%YoY ต่ำกว่าตลาดคาด กดดันให้เมื่อคืนนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ร่วงลงแตะระดับ 4.43% และดอลลาร์อ่อนค่า มองเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นกลุ่ม Yield Play อาทิ โรงไฟฟ้า, REITs, ไฟแนนซ์
• ปธน. ทรัมป์เผยสหรัฐใกล้บรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน แลกเปลี่ยนยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร ทำให้อิหร่านจะส่งออกน้ำมันได้ ทำให้ตลาดกังวลอุปทานน้ำมันสูงขึ้น กดดันราคาน้ำมัน
• รมว.คลัง คาดเศรษฐกิจไทยอาจสะดุดอย่างน้อย 2 ปี จากมาตรการภาษีสหรัฐ มีนโยบายให้ 7 แบงก์รัฐลดเป้ากำไรเพื่อช่วยลดดอกเบี้ย พร้อมเดินหน้า Soft Loan วงเงิน 1 แสนลบ. โดย KTB ไม่อยู่ในรายชื่อ 7 ธนาคาร แต่กลุ่ม ธพ. อาจจะกระทบเชิงจิตวิทยา
• 19 พ.ค.บอร์ดกระตุ้น ศก. เตรียมประชุมมาตรการรับมือภาษีตอบโต้สหรัฐ พร้อมทบทวนงบปี 69 และโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3
• PBOC เผยยอดปล่อยกู้ใหม่ เม.ย. อยู่ที่ 2.8 แสนล้านหยวน ต่ำกว่าคาดที่ 7 แสนล้านหยวนมากจากสงครามการค้ากดดีมานด์ให้ลดลง แนวโน้มเศรษฐกิจจีนยังคงต้องระมัดระวังรวมถึงหุ้นที่เชื่อมโยง
• ม. หอการค้าไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เม.ย. 68 ลดลงสู่ 55.4 ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน กดดันจากความกังวลสงครามการค้า, ศก. โดยรวมฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพที่สูง
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากรระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน อย่างไรก็ดีคาด SET ยังมี Upside จำกัด หลังปรับตัวขึ้นมาสะท้อนความคาดหวังเชิงบวกจากการเจรจาทางการค้าไปก่อนหน้านี้จนทำให้ดัชนียืนเหนือระดับ 1200 จุด สูงกว่าก่อนเกิดเหตุการณ์ ปธน. ทรัมป์ประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ประเทศคู่ค้าไปแล้ว อีกทั้งในประเทศยังต้องติดตามการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับไทยที่ยังไม่มีความคืบหน้า และการเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายประกาศงบ 1Q68 ของหุ้น Real Sector ทำให้บรรยากาศลงทุนน่าจะยังเป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยมองมีแนวต้านสำคัญบริเวณ 1250 จุด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำให้ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มอง SET มีโอกาสปรับขึ้นขานรับสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงปรับลดภาษีศุลกากร แต่ Upside ยังจำกัด หลังดัชนีปรับขึ้นสะท้อนภาพบวกไประดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งในประเทศยังไร้ปัจจัยหนุนและอยู่ระหว่างติดตามประกาศงบ 1Q68 กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก และ 1 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้น Earning Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 1Q68-2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ เลือก ADVANC TRUE BTG CPF CPALL OR
2. หุ้น Undervalued ซึ่งปัจจุบันซื้อขายที่ PER และ PBV 68F ระดับต่ำกว่า -1SD ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ดี YoY และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง แนะนำ GULF MTC CBG SPRC GPSC
3. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50: ADVANC BDMS CPALL PTT และ SET100: BCH BTG AP
4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการแนะนำเก็งกำไรสำหรับหุ้นที่ได้รับผลกระทบมาตรการภาษีสหรัฐซึ่งคาดราคาหุ้นจะฟื้นตัวเร็ว (High Beta) หากสงครามการค้ามีสัญญาณคลี่คลาย แนะนำ KTB BBL BCP PTT SCCC FTREIT AMATA
DAILY TOP PICKS
GPSC : มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากการปรับตัวลงของราคาก๊าซและ Bond Yield ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรปกติจะเติบโต 3.9%YoY โดยมีปัจจัยหนุน ได้แก่ การเพิ่มกำลังการผลิต, การได้รับการคัดเลือกโครงการพลังงานทดแทนระยะที่ 2 รอบแรก, ไม่มีผลกระทบจากการบังคับใช้ภาษีขั้นต่ำสากล
TRUE : มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นจากมี Downside จำกัดจากภาษีการค้าสหรัฐและโมเมนตัมกำไรยังแข็งแกร่ง โดย 1Q68 เป็นไตรมาสแรกที่รายงานกำไรสุทธิเป็นบวกครั้งแรก และ 2Q68 กำไรมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมี upside จากประมูลคลื่นความถี่ที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ
ข่าวเด่น