เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล อินโนเวสท์วิเคราะห์ "ไซด์เวย์ รอความชัดเจนภาษี"


 

คาดตลาดแกว่งตัวไซด์เวย์ มีแนวรับที่ 1110/1100-1095 ส่วนแนวต้านประเมินไว้ที่ 1122/1128 เป็นลักษณะของการแกว่งตัวไซด์เวย์รอความชัดเจนเรื่องอัตราภาษี ตลาดทยอยรับรู้ความเสี่ยงหลังสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากไทย 36% ไประดับหนึ่ง และคาดหวังโอกาสในการเจรจาเพิ่ม หลังจากที่เส้นตายเลื่อนออกไปอีก 3 สัปดาห์เป็นวันที่ 1 ส.ค. แทน

ประเด็นสำคัญ

• ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมประกาศเก็บภาษีนำเข้าทองแดง 50% จะเริ่มในช่วงสิ้นเดือน ก.ค. หรือไม่เกิน 1 ส.ค. 2568 คาดว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้

• ปธน. ทรัมป์เผยว่าจดหมายแจ้งถึงแต่ละประเทศคู่ค้าจะถูกทยอยส่งออกไปในช่วงต่อจากนี้ และไม่มีการยืดระยะเวลาบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรจะเริ่มในวันที่ 1 ส.ค.โดยไม่ผ่อนผันหรือยกเว้น

• สรท. มองการที่ไทยโดนภาษีตอบโต้ 36% จะสร้างความเสียหายสูงและติดลบอย่างแน่นอนใน 2H68 เนื่องจากคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค เช่น เวียดนามและมาเลเซีย โดนภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า ด้าน ส.อ.ท. ประเมินการส่งออกไทยจะเสียหายราว 8-9 แสนลบ. 

• รมช. คลังเผยรัฐบาลยังมีเม็ดเงินกระตุ้น ศก. อีก 4-5 หมื่นลบ. จากวงเงินทั้งหมด 1.57 แสนลบ. สำหรับออกมาตรการเพื่อดูแลผู้ประกอบการที่คาดจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ อัตรา 36% ส่วนรายละเอียดการใช้และจะใช้เมื่อไรต้องรอให้กระบวนการเจรจาการค้าแล้วเสร็จก่อน 

• ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการกำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ครอบคลุมทุกสายทั่ว กทม. และปริมณฑล โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ใน ส.ค. นี้ และจะเริ่มต้นมาตรการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป 

• รมว.ท่องเที่ยวฯ เผยจำนวน นทท. จีนฟื้นตัว 26.9%WoW และขึ้นสู่อันดับหนึ่งจากการเข้าสู่ช่วงปิดภาคเรียนในจีนส่วน นทท. จากตลาดระยะไกลเพิ่มขึ้น 19.5%WoW เนื่องจากเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวในยุโรปและออสเตรเลีย ขณะที่มาเลเซียและอินเดียชะลอตัวลง ทำให้จำนวน นทท. สะสมปีนี้ที่ 17.18 ล้านคน ลดลง 5.1%YoY 

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยแม้มองปัจจัยการเมืองในประเทศจะยังไม่มีแรงกดดันเพิ่มในช่วงสั้น เพราะยังต้องรอผลการตัดสินขั้นสุดท้ายของศาลรัฐธรรมนูญหลังจากที่มีมติให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ตลาดน่าจะกำลังติดตามความเสี่ยงเรื่องอัตราภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ ที่ประกาศเรียกเก็บจากประเทศคู่ค้าซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. โดยสำหรับไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% สูงกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญในกลุ่มอาเซียน ซึ่งทำให้ไทยมีโอกาสสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ดีเราประเมิน SET ที่บริเวณต่ำกว่า 1100 จุด คิดเป็น PER ปี 2568 ต่ำกว่า 12 เท่า ยังเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยกลยุทธ์ลงทุนคงแนะนำให้ “Selective Buy”

ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์

มอง SET แกว่งตัวผันผวน กังวลไทยถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรอัตรา 36% สูงกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญในกลุ่มอาเซียน ซึ่งจะทำให้ไทยมีโอกาสสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีม หลักและ 3 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

1. หุ้น Earnings Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ ขณะที่ 3Q68 คาดกำไรยังเติบโต YoY แนะนำ ADVANC BCH CBG CPALL SCCC 

2. หุ้น Defensive ที่ผันผวนต่ำและผลการดำเนินงานต้านทานความเสี่ยงภายนอกได้ (ผลกระทบจำกัดจากปัจจัยภายในและภายนอก) อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ แนะนำ ADVANC BCH DIF 

3. หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี (SET50 ที่มี SET ESG Ratings A ขึ้นไป) เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H68 และให้ Div. Yield เกิน 2% แนะนำ ADVANC BBL PTT 

4. Trading Idea: สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้น Undervalue (PER และ PBV < -1SD) และเราแนะนำ Outperform อีกทั้งคาดให้ Div. Yield ไม่ต่ำกว่าปีละ 3% แนะนำ BBL BCPG BDMS CPALL DIF PTT SIRI TIDLOR 2) หุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย แนะนำ ERW CENTEL AAV และ 3) หุ้นที่คาดฟื้นตัวเร็วหากเชื่อว่าการเจรจาจะทำให้สหรัฐพิจารณาปรับลดภาษีไทยลงมาอยู่ที่ระดับ 20% หรือต่ำกว่า แนะนำ AMATA GPSC WHA

DAILY TOP PICKS

CENTEL: ราคาหุ้นได้รับปัจจัยกระตุ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัว 27%WoW กราฟเทคนิคดี และโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” จะกลับมาเปิดลงทะเบียนรับสิทธิ์ใหม่ภายใน 2 วัน ในขณะที่ผ่านมาการดำเนินงานโรงแรมในประเทศไทยและญี่ปุ่นแข็งแกร่ง และราคาปรับตัวลงตอบสนอง 2Q68 ซึ่งเป็นโลว์ซีซันไประดับหนึ่งแล้ว 

CPALL: มองราคาหุ้นได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดจำกัด คาดว่า กำไรปกติ 2Q68 อยู่ที่ 6.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น +9% YoY จากการฟื้นตัวของธุรกิจ CVS และ CPAXT และปี 2568 จะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มที่ 15%YoY และซื้อขาย PER 2568F ที่ 14 เท่า ส่วนการประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน (ไม่เกิน 1.67% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. - 14 พ.ย. 2568 จะช่วยจำกัด Downside ของราคาหุ้น
 

 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 09 ก.ค. 2568 เวลา : 11:11:48
09-07-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ July 9, 2025, 5:55 pm