
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ดูเหมือนว่าจะต่อกันไม่ติดอีกแล้ว เมื่อการปลุกระดมการรักชาติจากแคมเปญ Don’t Thai to Me ที่แบนสินค้าต่าง ๆ จากไทยทั้งหมดนั้น ล่าสุดเจ้าของกิจการปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่ที่ซื้อสิทธิ์การใช้แบรนด์ PTT (Cambodia) ของปตท. ได้รวมกลุ่มยกเลิกสัญญาตัวแทนจำหน่าย และเตรียมเปลี่ยนไปใช้แบรนด์ที่สร้างขึ้นใหม่โดยคนกัมพูชาที่ชื่อว่า Peace Petroleum Cambodia หรือ PPC แทน
นายเตีย เสียม ตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการปั๊มน้ำมัน PTT ในกัมพูชา ออกโรงที่จะยกเลิกสัญญาการใช้แบรนด์ PTT (Cambodia) โดยระบุว่า “จะปลดป้าย PTT ออกไป และจะเปิดทางให้ดำเนินกระบวนการทางกฎหมายหากจำเป็น” ซึ่งทางเจ้าของกิจการปั๊มน้ำมันเหล่านี้จะร่วมกันสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาเป็นของกัมพูชาเอง ที่ทั้งมีมาตรฐานสูง และมีคุณภาพ เพื่อสร้างความไว้วางใจแก่ลูกค้าคนกัมพูชาด้วยกันภายใต้แบรนด์ Peace Petroleum Cambodia หรือ PPC โดยจะสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์สัญชาติกัมพูชาด้วย สีแดง เป็นหนึ่งในสีธงชาติที่เป็นตัวแทนของกัมพูชา,สีขาวสะท้อนถึงความบริสุทธิ์ อ่อนโยน ความซื่อสัตย์ และรักความสงบ ,สีเบจ สะท้อนความแข็งแกร่ง ความไว้วางใจและความยั่งยืน, สีทอง สะท้อนถึงความรุ่งเรืองของประเทศกัมพูชา และโลโก้นกพิราบ สะท้อนถึงอิสรภาพและสันติภาพเฉกเช่นคำประกาศอิสรภาพของพรรคประชาชนกัมพูชา

สิ่งที่น่าสนใจคือ ตัวแทนอย่างนายเตีย เสียม ที่เตรียมเปิดแบรนด์ใหม่ด้วยการโพสต์เฟซบุ๊กโชว์ภาพของสถานีบริการน้ำมัน Peace Petroleum Cambodia ว่าจะมาแทนสถานีบริการ PTT Station นั้น เขาคือลูกชายของ พล.อ.เตีย บัญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และแกนนำสำคัญของพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party - CCP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาล โดยมีฮุน มาเนต ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งนี้อาจตีความได้ว่า Propaganda ที่สร้างความรักชาติในประเทศเพื่อผลประโยชน์ทางด้านการเมืองและอิทธิพลของตระกูลฮุน มีประเทศไทยเป็นเป้าหมายในฐานะ “ศัตรูของชาติ” อย่างเต็มรูปแบบ ที่จะดำเนินแคมเปญแบนสินค้า และ Soft Power ทุกอย่างที่มาจากไทยอย่างถึงที่สุด
ทางด้านบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยถึงกรณีนี้ว่า หากเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ในกัมพูชาจะยกเลิกสัญญา ยกเลิกการใช้แบรนด์ PTT จะต้องทำตามเงื่อนไขแจ้งยกเลิกสัญญา 6 เดือนล่วงหน้า แต่หากมีการปลดป้าย PTT ก่อนกำหนด จะถือว่าผิดเงื่อนไขสัญญา และ OR จะมีการปกป้องสิทธิภายใต้สัญญาดังกล่าว ส่วนผลกระทบนั้น ในระยะสั้นทางบริษัทคาดว่าจะไม่กระทบรุนแรง เนื่องจากจำนวนสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ในกัมพูชาอยู่ที่ 186-190 แห่ง (ในไทยที่มีอยู่ราว 2,300 แห่ง) และแม้จะมีการห้ามนำเข้าน้ำมันจากไทย สถานีเหล่านี้ยังต้องใช้สต๊อกน้ำมันเดิมจนกว่าจะหมด อีกทั้ง OR ได้สั่งให้พนักงานไทยในกัมพูชากลับประเทศไทยเพื่อความปลอดภัยไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นตอนนี้จะเหลือแต่แรงงานท้องถิ่นของกัมพูชา ซึ่งยังต้องมีการรันกิจการอย่างต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากการเปลี่ยนแบรนด์ครั้งนี้ ขยายวงกว้าง หรือเกิดการลุกลามจนเกิดการสร้าง Fake News ในฝั่งกัมพูชา ก็อาจจะกระทบกับรายได้ สัดส่วนตลาด และความเชื่อมั่นของลูกค้า OR หรือ PTT ได้ เพราะจากตัวอย่างการกระตุ้นกระแสรักชาติของรัฐบาลกัมพูชา และอิทธิพลตระกูลฮุนที่ครอบครองทั้งสื่อ และธุรกิจต่าง ๆ ทั่วประเทศ ดังกรณีของตัวแทนอย่างนายเตีย เสียม ที่พยายามสร้างแบรนด์เพื่ออุดมการณ์ของชาติเป็นฉากหน้า แต่ดันครองใจชาวกัมพูชาทั่วประเทศได้ ก็อาจจะมีการสร้างสถานการณ์เพื่อ “ความรักชาติ” ในบทถัดไปโดยมีตัวโดนอย่างธุรกิจของไทยอีกก็เป็นได้
ข่าวเด่น