
เศรษฐกิจของประเทศไทย แท้จริงแล้วมีขนาดใหญ่ไม่แพ้กับประเทศในแถบยุโรปอย่างโปแลนด์, สวีเดน หรือ เบลเยียมเลย เพียงแต่ว่าเศรษฐกิจส่วนหนึ่ง จัดอยู่ใน “เศรษฐกิจนอกระบบ” ที่ซุกซ่อนตามโครง สร้างแรงงานนอกระบบที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งแม้เศรษฐกิจไทยจะพัฒนาขึ้นมากแค่ไหน แต่หากธุรกิจจำนวนมากยังคงรันอยู่นอกระบบ หรืออยู่ใต้ดินที่ภาครัฐไม่สามารถตรวจสอบได้ มันก็ยังคงเป็นตัวฉุดรั้งศักยภาพประเทศไทยขนาดใหญ่ ที่ทำให้เราไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างที่ควรจะเป็น
เศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy) คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริงในสังคม แต่ไม่ได้จดทะเบียนกับรัฐหรือไม่มีการกำกับดูแลอย่างเป็นทางการ จึงมักไม่อยู่ในระบบภาษีหรือสวัสดิการแรงงานของประเทศ กล่าวคือ ถ้าเป็นธุรกิจ ก็ไม่จดทะเบียนพาณิชย์ ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการที่ถูกต้อง ส่วนแรงงาน ก็เป็นแรงงานที่ไม่มีสัญญาจ้าง จึงไม่มีสิทธิประกันสังคม ไม่ได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย เสี่ยงถูกเอาเปรียบจากนายจ้าง ดังนั้นรายได้จึงไม่แน่นอน โดยอาจขึ้นกับงานหรือยอดขายแต่ละวัน นอกจากนี้ คนหรือธุรกิจที่อยู่โครงสร้างนอกระบบจะเข้าถึงสินเชื่อหรือทุนยาก เพราะไม่มีเอกสารการเงิน หรือตัวเลขต่าง ๆ เป็นหลักฐาน เหมือนกับเศรษฐกิจในระบบ
แต่ข้อได้เปรียบก็คือ พวกเขาจะไม่ได้โดน Record ในระบบภาษี ทำให้ภาครัฐเก็บภาษีได้ยาก อีกทั้งยังสามารถหลีกเลี่ยงข้อบังคับของรัฐ หรือขั้นตอนเข้าไปอยู่ในระบบอย่างเป็นทางการ ที่มักซับซ้อนและมีต้นทุนสูง ซึ่งทาง KKP Research ระบุว่า เศรษฐกิจนอกระบบของไทย มีขนาดประมาณ 45% ของ GDP ประเทศ หรือมีมูลค่ามากถึง 8.1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว และยังจัดว่าเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลกอีกด้วย โดยสาเหตุที่ไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่เกือบครึ่งของเศรษฐกิจในระบบเป็นเพราะ โครงสร้างแรงงานนอกระบบ ทั้งภาคการเกษตร การค้าขายรายย่อย และการจ้างงานแบบชั่วคราว ฝั่งอยู่ในวิถีชีวิต ในสังคมคนไทยมาอย่างยาวนาน เช่น ค้าขายในตลาดนัด หาบเร่ รับจ้างรายวัน งานรับเหมา แรงงานในครัวเรือน หรือแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีเอกสารหรือการคุ้มครอง โดยทางธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในไทยมีแรงงานนอกระบบมากถึง 20 ล้านคน หรือ 51% ของแรงงานทั้งหมด ขณะที่ผู้เสียภาษีอย่างเป็นทางการมีเพียง 11–12 ล้านคน แต่ประชาชนทั้งประเทศกว่า 68 ล้านคน ต่างร้องขอสวัสดิการจากรัฐ สะท้อนปัญหาความไม่สมดุลทางการคลังและภาระงบประมาณในระยะยาว
และหากเรารวมเอามูลค่าของเศรษฐกิจนอกระบบ กับในระบบเข้าด้วยกัน (ประมาณ 18 ล้านล้านบาท) จะทำให้ขนาดของเศรษฐกิจไทยมีมูลค่าถึง 26 ล้านล้านบาท เทียบได้กับระดับที่ใกล้เคียง "ประเทศพัฒนาแล้วระดับกลาง" เลยทีเดียว สะท้อนให้เห็นว่าไทยมีขุมทรัพย์เศรษฐกิจเงาขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถนำมาบูรณาการเพื่อเพิ่มพลังเศรษฐกิจสู่การเจริญเติบโตที่มั่นคงได้อีกมาก เพียงแต่ ณ ตอนนี้ เรายังจัดอยู่ในกลุ่ม “ประเทศที่กำลังพัฒนา” ที่ขุมทรัพย์ดังกล่าวยังเป็นภัยที่คอยฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยไม่ให้เติบโตอย่างที่ควรจะเป็นอยู่ ซึ่งส่งผลเสียทั้ง รัฐมีงบประมาณน้อยลงสำหรับลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, สวัสดิการ, และพัฒนาคุณภาพชีวิต (ต่างจากประเทศพัฒนาแล้วที่มีสัดส่วนนอกระบบต่ำจึงมีงบลงทุนภาครัฐสูงและบริการสาธารณะดีกว่า) มีการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างช้าลง เพราะธุรกิจในเงาทำให้รัฐไม่รู้ข้อมูลจริงของตลาด จึงวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจได้ยาก หรืออาจไม่สอดคล้องกับความต้องการจริง
ทั้งนี้ เศรษฐกิจนอกระบบยังขัดขวางผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุนและนวัตกรรม เพราะธุรกิจที่อยู่นอกระบบขาดเอกสารการเงิน ทำให้เข้าถึงสินเชื่อและลงทุนเทคโนโลยีใหม่ยาก เป็นเหตุให้ธุรกิจเติบโตช้าหรือหยุดอยู่กับที่ และยังส่งผลไปสู่ภาคแรงงาน ที่ทำให้ต้องจ้างแรงงานนอกระบบ หรือเกี่ยวพันกับแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นการทำให้แรงงานขาดความมั่นคงทางการเงิน สวัสดิการ เกิดความเหลื่อมล้ำและลุกลามเป็นปัญหาทางอาชญากรรมได้ ดังนั้นในตอนนี้ที่ประเทศไทยพยายามจะนำเศรษฐกิจนอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบกันมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่จัดเก็บภาษีที่มากขึ้นเท่านั้น แต่มันยังสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานนอกระบบให้ดีขึ้น ต่อยอดไปถึงระดับประเทศที่พัฒนาก้าวเข้าสู่อีกขั้นในระเบียบโลกใหม่ที่ทำให้ไทยมีความมั่นคงและอำนาจมากขึ้นได้
ข่าวเด่น