การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จัดใหญ่เปิดดำเนินการ “ตลาดเครือข่ายยางพารา กยท.ส.นาทวี” สร้างโอกาสให้ชาวสวนยางเข้าถึงการซื้อขายยางในราคายุติธรรม - ลดต้นทุนขนส่ง มุ่งเชื่อมโยงช่องทางตลาดยางในพื้นที่ชายแดนใต้ พร้อมพัฒนาระบบมาตรฐานการจัดการผลผลิตตามมาตรฐานสากล โดยมี ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยคณะกรรมการ กยท. ผู้บริหาร กยท. และพนักงานในสังกัด ตลอดจนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางพื้นที่ใกล้เคียง เข้าร่วมสัมมานารับฟังความรู้การดำเนินงานของตลาดเครือข่ายภายในงาน


ดร.เพิก เผยว่า กยท. มีพันธกิจบริหารจัดการยางพาราไทยทั้งระบบ ภายใต้วิสัยทัศน์ “บริหารยางพาราเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” โดยมุ่งการเพิ่มรายได้และทางเลือกให้เกษตรกร ลดผลกระทบจากความผันผวนของราคายางพารา และเพื่อตอบสนองความต้องการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดตั้งสำนักงานตลาดกลางยางพาราและตลาดเครือข่ายของ กยท. ให้กระจายในพื้นที่ทั่วประเทศ จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง เกิดการเพิ่มจุดศูนย์กลางเชื่อมโยงการค้าขึ้น สำหรับในพื้นที่ภาคใต้ กยท. เร่งเดินหน้าช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้ครอบคุลมในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ อ.นาทวี อ.เทพา อ.จะนะ และ อ.สะบ้าย้อย จำนวนกว่า 100,000 ราย ซึ่งมีพื้นที่ปลูกยางรวมกว่า 700,000 ไร่ โดยที่ผ่านมายังขาดความสะดวกในการเข้าถึงการซื้อขายผลผลิตผ่านตลาดกลางยางพารา ต้องแบกรับต้นทุนการขนส่งที่สูง ดังนั้น การเปิดตลาดเครือข่ายยางพารา กยท. สาขานาทวี แห่งนี้ จะช่วยให้เกิดการเข้าถึงระบบตลาดได้สะดวกขึ้น กยท. สามารถเข้ามาบริหารจัดการวัตถุดิบในพื้นที่ได้ เพื่อผลักดันระบบมาตรฐานการจัดการผลผลิตยางในพื้นที่ให้มีเอกภาพ ทัดเทียมตลาดภายนอก ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งรองรับมาตรฐาน EUDR และสร้างเสถียรภาพราคายางให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน โดยราคายางแผ่นรมควัน ชั้น 3 ที่ซื้อขายผ่านตลาดกลางฯ จ. สงขลา และตลาดเครือข่ายฯ ในวันนี้ ปิดตลาดที่ 63.15 บาท/กิโลกรัม


“กยท. มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตและเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางการเปิดตลาดเครือข่ายฯ แห่งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยลดอุปสรรคและเพิ่มโอกาสเชื่อมช่องทางการตลาดให้แก่ชาวสวนยางในพื้นที่ ตลาดเครือข่ายแห่งนี้จะเป็นมากกว่าสถานที่ซื้อขายยาง แต่จะเป็นศูนย์กลางและกลไกสำคัญในการผลักดันให้ชาวสาวนยางสามารถจำหน่ายผลผลิตในราคาที่เป็นธรรม เพิ่มรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และยังเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน” ดร.เพิก กล่าว
นอกจากนี้ เพื่อการตอกย้ำถึงความสำคัญของตลาดเครือข่ายยางพารา ภายในงานนี้ กยท. ยังมีการสัมมนาแก่เกษตรกรและผู้ร่วมงาน เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจถึงการดำเนินงานของตลาดเครือข่ายยางพารา ตลอดจนผลประโยชน์เกษตรกรชาวสวนยางจะได้รับ ทั้งนี้ คณะผู้บริหาร กยท. ได้มอบโฉนดต้นยางพารา” ให้แก่ชาวสวนยางในพื้นที่ รวม 60 ราย เพื่อเป็นสินทรัพย์ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากต้นยางพารา ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ข่าวเด่น