ไอที
Scoop : "Data Center" แต้มต่อประเทศไทย สู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งอาเซียน


เมื่อพูดถึงการเป็นศูนย์กลาง Data Center หรือโครงสร้างพื้นฐานของโลกยุคดิจิทัลแห่งภูมิภาคอาเซียน คนส่วนใหญ่ก็อาจมองไปที่สิงคโปร์ ประเทศที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเจริญสูงสุดในอาเซียน อีกทั้งยังมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่โดดเด่นระดับโลก แต่ใครจะคิดว่าประเทศไทยกำลังกลายเป็นผู้ท้าชิงที่บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ระดับโลกต่างปักหมุดเข้ามาลงทุนพร้อม ๆ กัน ซึ่งหากไทยเราสามารถตั้งตัวเป็น Hub ทางด้าน Data แห่งอาเซียนได้จริง อุตสาหกรรมนี้จะเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจทั้งระบบของไทยให้กลายเป็นผู้เล่นหลักบนเวทีเศรษฐกิจดิจิทัลของโลกได้เลยทีเดียว
 
โลกของเราในปัจจุบันนี้ ได้ก้าวเข้าสู่ยุคของ Giga Data Center หรือโลกที่เปรียบได้กับศูนย์ข้อมูลขนาดมหาศาล ซึ่งจำเป็นต้องใช้พลังงานระดับกิกะวัตต์ (Giga Watt) ในการประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ (พลังงานไฟฟ้า 1 กิกะวัตต์ เทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าในบ้านถึง 7 แสนหลัง) ดังนั้น Data Center จึงเป็นอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานโลกดิจิทัลที่เอาไว้รองรับพลังงานระดับกิกะวัตต์ในการตอบสนองต่อการเติบโตของข้อมูลของเทคโนโลยีในปัจจุบันที่จะมีแต่พัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งการประมวลผล AI ขนาดใหญ่, การเรียนรู้ของระบบ Machine Learning, ระบบ Cloud Computing ที่ทำงานพร้อมกันทั่วโลก และข้อมูลจากอุปกรณ์อัจฉริยะ หรือ IoT (เช่นสมาร์ทโฟน, Tablets ไปจนถึงรถไฟฟ้า) ที่เชื่อมต่อกันตลอดเวลา
 
ฉะนั้นแล้ว ใครที่คุมโครงสร้างพื้นฐานระดับเมกะโปรเจคได้ก่อน คนนั้นก็จะมีสิทธิ์ในการคุมอนาคตของเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งผู้เข้าแข่งขันในภูมิภาคอาเซียนในตอนนี้ ประกอบด้วยสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และไทย ที่กำลังแข่งขันแย่งชิงการเป็นศูนย์กลาง Data Center แห่งอาเซียน และแม้ปัจจุบันเจ้าตลาดแห่ง Data Center จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสิงคโปร์ ที่มี Instore Capacity หรือความจุใช้งานรวมกันมากที่สุดในอาเซียน แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา Data Center ของประเทศไทยเติบโตกว่า 54% จัดอยู่เป็นเบอร์ 3 ด้านความจุของ Data รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย แต่อัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 31.2% ซึ่งกำลังเข้าใกล้มาเลเซียอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยที่กำลังจะไต่ระดับท้าชนกับ 2 ประเทศนี้ และที่สำคัญประเทศสิงคโปร์เอง ก็มีข้อจำกัด อย่างพื้นที่ที่จำกัดและมีราคาที่ดินสูงเนื่องจากเป็นประเทศขนาดเล็ก มีความเสี่ยงด้านกำลังไฟฟ้าสำรองที่อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต รวมถึงเป็นประเทศที่พึ่งพาพลังงานนำเข้าจากภายนอกซึ่งอาจไม่สามารถหาแห่งพลังงานสะอาดได้มากพอ
 
ขณะที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก ได้เริ่มมองหาทำเลที่จะสามารถขยายตัวได้รวดเร็วและรองรับกับการเติบโตของเทคโนโลยีในระยะยาวได้ดีกว่า ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นหมุดหมายที่น่าสนใจในหมู่บริษัทเทคยักษ์ใหญ่จากซิลิคอนแวลลีย์ ทั้ง Google, Microsoft, Amazon และ TikTok เข้ามาลงทุนในประเทศไทยพร้อม ๆ กัน โดยปี 2024 ที่ผ่านมา มีโครงการลงทุน Data Center ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 2.4 แสนล้านบาท จากทั้ง 47 โครงการ ด้วยปัจจัยได้เปรียบอย่าง 1.พลังงานที่มั่นคง มีโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าที่เสถียรและเพียงพอต่อการใช้งานระดับมหาศาล และความเร็วอินเทอร์เน็ตติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ที่มีเครือข่าย 5G ครอบคลุมทั่วประเทศ 2.ทำเลทางยุทธศาสตร์ ด้วยทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ทำให้ไทยเป็นจุดเชื่อมต่อดิจิทัลที่รวดเร็วและไร้รอยต่อ 3.ศูนย์กลางแห่งภูมิภาค ประเทศไทยตั้งอยู่บนศูนย์กลางของกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์, เวียดนาม) ซึ่งมีเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต จึงทำให้ไทยได้เปรียบในการเป็น Hub กระจายข้อมูลที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพสูงสุด
 
ดังนั้น Hyper-Scale Data Center หรือศูนย์ข้อมูล Data ที่เปรียบเสมือนโรงไฟฟ้ายุคดิจิทัล ที่จัดเก็บข้อมูลมหาศาล และประมวลผลทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์แบบ Real Time เพื่อรองรับเทคโนโลยีแห่งอนาคต คือโอกาสทองของไทยที่กำลังจะเปลี่ยนสถานะของประเทศเรา เพราะด้าน IMF มีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2026 การเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทยจะถดถอยลงเหลือ 1.7% และหากดูตามภาพรวมของอาเซียน แม้ GDP ของทั้งภูมิภาคจะชะลอตัวอยู่ที่ 4% แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และสูงกว่าไทย ที่เป็นประเทศที่ดึงค่าเฉลี่ยของอาเซียนอีกด้วย ดังนั้นหากเราสามารถเป็น Data Center ของระดับภูมิภาคได้ GDP ของประเทศไทยจะเติบโตได้ไม่แพ้ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะด้วยการปักหมุดของยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะวางรากฐานให้กับเศรษฐกิจ และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญที่สุดของภูมิภาคระดับอาเซียน

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 10 ก.ย. 2568 เวลา : 21:03:23
14-09-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 14, 2025, 8:42 am