หุ้นทอง
Scoop : "โลหะเงิน" อีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุน ที่น่าสนใจไม่แพ้ทองคำ


หากจะพูดถึงแร่โลหะที่ใช้สำหรับการกักเก็บมูลค่าเพื่อประกันความมั่นคงทางการเงินในยามฉุกเฉินแล้วนั้น ทองคำก็คงจะเป็นคำตอบแรกและอาจเป็นคำตอบเดียวของคนส่วนใหญ่ เนื่องจากจัดเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีส่วนสำคัญของระบบการเงินโลกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ทำให้ใคร ๆ ก็ต่างเลือกที่จะให้ความสำคัญกับทองคำ จนหลงลืมอีกหนึ่งโลหะที่มีค่าอย่าง “เงิน” ที่สามารถสะสมมูลค่าได้ไม่ด้อยไปกว่าทองคำเลย
 
เงิน หรือ Silver เป็นโลหะมีค่าเหมือนกันกับทองคำ ที่มีปริมาณที่จำกัด รวมถึงยังมีความคงทนถาวรที่ไม่บุบสลายตามกาลเวลาเช่นกัน ซึ่งในสังคมโลกของเราก็คุ้นเคยกับการเอาโลหะเงิน มาใช้เป็น “เงินตรา” ในการจับจ่ายใช้สอย ซื้อข้าวซื้อของกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่หากเอ่ยถึงการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย หรือ Safe Haven ส่วนใหญ่แล้วถูกดึงความสนใจไปที่ทองคำเสียหมด ในฐานะสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งมากกว่า 5,000 ปี ที่ได้กลายเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และได้รับการพิสูจน์หลายต่อหลายครั้งแล้วว่าสามารถปกป้องเสถียรภาพการเงินในยามที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจผันผวน หรือในสภาวะสงครามไว้ได้ แต่จริง ๆ แล้ว โลหะเงินก็สามารถใช้กักเก็บมูลค่าได้ และยังเป็นโอกาสในการลงทุนที่จับต้องได้ง่ายมากกว่าทองคำ เนื่องจากราคาของเงินยังคง Undervalued อยู่
 
แม้จะมีข้อสังเกตว่า ทองคำนั้นหายากกว่า และไม่เสื่อมสภาพเลยด้วยความคงทนที่แทบไม่ทำปฏิกิริยากับอากาศ น้ำ หรือกรดด่าง ซึ่งสามารถรีไซเคิลได้สูงถึงประมาณ 90% ของทองที่ถูกขุดออกมาในระบบ ต่างกับเงินที่มีปริมาณมากกว่าทองคำหลายเท่า และสามารถเกิดการหมองดำจากการทำปฏิกิริยาในอากาศ แต่ประเด็นของการใช้งานโลหะเงินนั้นมีมากกว่าทองคำ เพราะเงินส่วนใหญ่ถูกเอาไปใช้ในอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย เช่น แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ซึ่งการใช้งานในลักษณะนี้จึงเป็นการใช้แล้วทิ้งหรือรีไซเคิลได้ยาก ทำให้ปริมาณของเงินก็ถูกลดทอนไปจากภาคอุตสาหกรรมค่อนข้างมากตามการเติบโตของเทคโนโลยี
 
อย่างไรก็ตาม ปริมาณของเงินก็ยังคงมีมากกว่าทองคำ ซึ่งก็สอดคล้องกับหลักของการใช้เงินตราในสมัยก่อน ที่เปลี่ยนจากการเอาทองไปแลกเปลี่ยนสิ่งของซึ่งมีมูลค่าขนาดใหญ่เกินไป ไปเป็นการซอยย่อยมูลค่าด้วยการใช้เงินเพื่อเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ขณะที่ทองคำถูกเก็บไว้ในฐานะ Store of Value หรือเงินก้อนใหญ่ที่ Backup ระบบการเงินเอาไว้ จะเห็นได้ว่าทั้งเงินและทองคำมีบทบาทคู่กันมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์การเงิน ดังนั้นเอง มูลค่าของเงินจึงเคลื่อนตัวสัมพันธ์ไปกับทิศทางของราคาทองคำ เมื่อทองมีมูลค่ามากขึ้น เงินก็จะทยอยขึ้นตาม หรือเมื่อทองมีมูลค่าลดลง เงินก็จะเคลื่อนตัวลงตามไป แต่ด้วยในสัดส่วนของปริมาณ ที่มีผลต่อความสูงต่ำของราคาตามหลักเศรษฐศาสตร์ ทำให้เกิดความต่างของราคาต่อสัดส่วนที่เท่ากันของโลหะมีค่าทั้งสองชนิดนี้ ที่เงินจะยังมีราคาที่ถูกกว่าทองคำอยู่มาก จึงเป็นทางเลือกในการลงทุนที่จับต้องได้ง่ายมากกว่า
 
กล่าวคือ ในด้านของความคุ้มค่า ถ้าเราซื้อทองคำแท่งหนัก 10 บาท ต้องใช้เงินประมาณ 550,000 บาท แต่หากซื้อเงินแท่ง 10 บาท ใช้เงินแค่ประมาณ 54,000 บาท ซึ่งก็ได้ในสัดส่วนของกำไรที่ใกล้เคียงกันด้วยต้นทุนที่น้อยกว่า อ้างอิงจากราคาเม็ดเงินบริสุทธิ์ 99.99% ที่เมื่อ 3 ปีก่อนจะตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 16,000 บาท แต่ในตอนนี้ตกกิโลละ 54,000 บาท ซึ่งมีมูลค่าขึ้นมา 60% เป็นอัตราการเติบโตที่ไล่ตามทิศทางเดียวกับทองคำเลย อีกทั้งในรูปแบบเม็ดเงินนี้ก็เหมาะสำหรับคนมีงบจำกัดที่สามารถซื้อทยอยสะสมได้ในราคาบาทละประมาณ 600 บาทอีกด้วย นับเป็นทางเลือกในการลงทุนที่เปิดกว้างอย่างมากสำหรับคนที่สนใจจะลงทุนในโลหะมีค่าเพื่อบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการเงิน
 
นอกจากนี้ ราคาของเงินยังคง Undervalued เมื่อเทียบกับทอง ซึ่งทองได้ทำราคา All Time High ไปแล้วหลายครั้ง แค่ในปีนี้ก็ไต่ระดับสูงสุดไปแล้วกว่า 20 ครั้ง แต่เงินเคยทำ All Time High ล่าสุดคือเมื่อ 50 ปีที่แล้วที่ 58 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 43 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีโอกาส Upsize ค่อนข้างมาก เพียงแต่หากอยากเริ่มลงทุนในโลหะเงินนั้น สำหรับประเทศไทยจะมีการบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% ที่ต้องคำนวนสัดส่วนการลงทุนให้ดี และยังมีสภาพคล่องที่ต่ำกว่าทองคำ ทำให้เงื่อนไขการซื้อขายแต่ละร้านที่รับซื้อต่างกัน จึงเหมาะสำหรับการลงทุนสะสมความมั่งคั่งในระยะยาวมากกว่าการใช้เพื่อเก็งกำไร แต่ทั้งนี้ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ละเอียดก่อนซื้อเงินในทุกรอบ เพื่อชั่งน้ำหนักถึงความเสี่ยงที่รับได้และบริหารสินทรัพย์ที่มีในพอร์ตให้เกิดประโยชน์สูงสุด

LastUpdate 21/09/2568 21:28:23 โดย : Admin
14-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 14, 2025, 2:41 pm