ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำบทวิเคราะห์ เรื่อง “สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ ไตรมาส 2 ปี 2568” รวบรวมข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศจากการประกาศขายผ่านเว็บไซต์ และข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองของสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน บริษัทบริหารสินทรัพย์ภาครัฐและเอกชน และกรมบังคับคดี ที่ประกาศขายผ่านเว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสอง (www.taladnudbaan.com) พบว่า มีจำนวนหน่วยและมูลค่าประกาศขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.6 และร้อยละ 5.6 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และยังเป็นการเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน (QoQ) เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าร้อยละ 4.7 และร้อยละ 26.4 ตามลำดับ สำหรับทรัพย์ที่ประกาศขายในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่เป็นของบุคคลธรรมดาและตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ 36.3 ส่วนประเภทที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายมากที่สุดยังคงเป็นบ้านเดี่ยว มีสัดส่วนร้อยละ 44.1 ขณะที่ที่อยู่อาศัยเกือบทุกประเภทมีจำนวนหน่วยและมูลค่าเพิ่มขึ้น ยกเว้นห้องชุดที่มีหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2 แต่มีมูลค่าลดลงร้อยละ -15.6 เนื่องจากมีห้องชุดมือสองที่ราคาถูกเข้ามาในตลาด ทำให้ราคาเฉลี่ยลดจาก 6.0 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2567 เหลือเพียงราคาเฉลี่ย 4.3 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2568 ในด้านราคาที่ประกาศขาย พบว่า ร้อยละ 28.6 อยู่ในระดับไม่เกิน 1.00 ล้านบาท ส่วนที่อยู่อาศัยกลุ่มราคาไม่เกิน 7.50 ล้านบาท มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งในจำนวนหน่วยและมูลค่า ตรงกันข้ามกับกลุ่มราคาเกิน 7.50 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งแม้จะมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 54.5 ของมูลค่าตลาดทั้งหมด แต่กลับปรับตัวลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เนื่องจากอุปทานในตลาดมือสองระดับราคานี้ถูกดูดซับออกไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการผ่อนปรน LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ครอบคลุมทุกระดับราคา ช่วยให้ผู้ที่มีกำลังซื้อสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น อีกทั้งที่อยู่อาศัยมือสองยังเป็นอีกทางเลือกสำคัญของผู้ซื้อ เพราะสามารถได้ทำเลใกล้เคียงกับโครงการใหม่แต่ในระดับราคาที่ต่ำกว่า ส่งผลให้ความต้องการซื้อและการดูดซับตลาดในกลุ่มนี้สูงขึ้น
ด้านการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง มีจำนวนหน่วยและมูลค่าลดลงร้อยละ -8.6 และร้อยละ -11.1 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเป็นการลดลงของที่อยู่อาศัยมือสองทุกประเภท โดยบ้านเดี่ยวยังคงเป็นประเภทที่มีหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.5 อีกทั้งด้านราคายังมีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงในทุกระดับราคา โดยหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคาต่ำกว่า 1.00 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 35.1 ของการโอนทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงมองหาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้ แม้ว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองโดยรวมเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) พบว่า มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า ร้อยละ 18.2 และร้อยละ 16.8 ตามลำดับ ปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการฟื้นตัวของตลาดบ้านมือสอง ได้แก่ มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนอง ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2568 ถึง 30 มิถุนายน 2569 และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 3 ครั้ง ตั้งแต่ต้นปี 2568 ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ 1.50 ปัจจัยเหล่านี้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อและเอื้อต่อการเข้าถึงสินเชื่อ ส่งผลให้ตลาดปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ บ้านมือสองยังเป็นทางเลือกสำคัญของผู้ที่มีกำลังซื้อ เพราะสามารถได้ที่อยู่อาศัยในทำเลเดียวกับบ้านใหม่ แต่ในราคาที่ถูกกว่า ทำให้ตลาดบ้านมือสองมีบทบาทในการรองรับความต้องการของผู้บริโภคท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และเป็นแรงสำคัญที่ช่วยพยุงการโอนกรรมสิทธิ์โดยรวมไม่ให้หดตัวรุนแรง พร้อมทั้งมีแนวโน้มสนับสนุนให้การโอนกรรมสิทธิ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2568
1. สถานการณ์ด้านอุปทานที่อยู่อาศัยมือสอง
1.1 ที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั่วประเทศ
ภาพรวมที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 มีจำนวน 189,382 หน่วย เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 34.6 และมีมูลค่า 758,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) พบว่า ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 และร้อยละ 26.4 ตามลำดับ (รายละเอียดตามตารางที่ 1)
ตารางที่ 1 จำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายทั่วประเทศ
หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้นอาจมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลในภายหลัง รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
1.2 ผู้ขายที่อยู่อาศัยมือสอง
ผู้ขายที่อยู่อาศัยมือสอง (เรียงตามจำนวนประกาศขาย) ได้แก่
(1) บุคคลธรรมดาและตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ มีจำนวนหน่วยประกาศขาย 68,834 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 36.3 แต่มีมูลค่ามากที่สุด 508,179 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 67.0 ของมูลค่าประกาศขายทั้งหมด และมีราคาเฉลี่ยสูงที่สุดคือ 7.4 ล้านบาทต่อหน่วย
(2) กรมบังคับคดี มีหน่วยประกาศขายมากที่สุดจำนวน 67,641 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.7 และมีมูลค่า 120,301 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.9 ของมูลค่าประกาศขายทั้งหมด
(3) สถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีจำนวนหน่วยประกาศขาย 24,858 หน่วย มีสัดส่วนร้อยละ 13.1 และมีมูลค่า 44,393 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 5.9 ของมูลค่าประกาศขายทั้งหมด
(4) บริษัทบริหารสินทรัพย์ มีจำนวนหน่วยประกาศขาย 21,905 หน่วย มีสัดส่วนร้อยละ 11.6 และมีมูลค่า 58,347 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 7.7 ของมูลค่าประกาศขายทั้งหมด
(5) ธนาคารพาณิชย์ มีจำนวนหน่วยประกาศขายและมูลค่าน้อยที่สุดคือ 6,144 หน่วย มีสัดส่วน ร้อยละ 3.2 มีมูลค่า 27,282 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 3.6 ของมูลค่าประกาศขายทั้งหมด
ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า กรมบังคับคดีมีจำนวนหน่วยประกาศขายเพิ่มมากที่สุดถึงร้อยละ 210.1 และมูลค่าเพิ่มมากที่สุดที่ร้อยละ 213.1 รองลงมา ได้แก่ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 สำหรับบุคคลธรรมดาและตัวแทนอสังหาริมทรัพย์มีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 แต่มูลค่าลดลงร้อยละ -7.9 ในขณะที่บริษัทบริหารสินทรัพย์มีจำนวนลดลงร้อยละ -1.6 แต่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 และธนาคารพาณิชย์ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าร้อยละ -11.9 และร้อยละ -13.1 ตามลำดับ จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนว่า อุปทานทรัพย์มือสองที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นทรัพย์ของกรมบังคับคดี ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะหนี้สินของภาคครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ประชาชนบางส่วนไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้ตามกำหนด จนนำไปสู่การเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี (รายละเอียดตามตารางที่ 2)
ตารางที่ 2 จำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายทั่วประเทศ แยกตามผู้ขาย
หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้นอาจมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลในภายหลัง รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
1.3 ประเภทที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขาย
ที่อยู่อาศัยมือสองที่มีจำนวนประกาศขายมากที่สุด 3 อันดับแรก แยกตามประเภท ดังนี้
(1) บ้านเดี่ยว จำนวน 83,612 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 44.1 มีมูลค่า 426,993 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 56.3 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
(2) ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 57,052 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.1 มีมูลค่า 121,006 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.0 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
(3) ห้องชุด จำนวน 39,973 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.1 มีมูลค่า 170,402 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.5 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
(4) อาคารพาณิชย์ จำนวน 5,576 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.9 มีมูลค่า 30,757 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.1 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
(5) บ้านแฝด จำนวน 3,169 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.7 มีมูลค่า 9,344 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน
ร้อยละ 1.2 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด (รายละเอียดตามแผนภูมิที่ 1 และ 2)
แผนภูมิที่ 1 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายทั่วประเทศ ไตรมาส 2 ปี 2568
แยกตามประเภทที่อยู่อาศัย
หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้นอาจมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลในภายหลัง รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
แผนภูมิที่ 2 มูลค่า (ลบ.) ที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายทั่วประเทศ ไตรมาส 2 ปี 2568 แยกตามประเภทที่อยู่อาศัย
หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้นอาจมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลในภายหลัง รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ที่อยู่อาศัยมือสองมีจำนวนหน่วยประกาศขายเพิ่มขึ้น
ทุกประเภท โดยบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ 50.0 รองลงมา ได้แก่ ทาวน์เฮ้าส์และบ้านแฝด โดยทั้งสองประเภทเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.9 ห้องชุดเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2 และอาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 ด้านมูลค่าของที่อยู่อาศัยมือสอง พบว่า เกือบทุกประเภทมีมูลค่าการประกาศขายเพิ่มขึ้น โดยประเภทที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ บ้านแฝด เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.3 รองลงมา ได้แก่ทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.0 บ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 และอาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ตามลำดับ ขณะที่ห้องชุดมีมูลค่าการประกาศขายลดลงร้อยละ -15.6 สะท้อนว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในภาพรวมมีทรัพย์ประกาศขายสะสมเพิ่มขึ้นทุกประเภท (รายละเอียดตามตารางที่ 3)
ตารางที่ 3 จำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายทั่วประเทศ แยกตามประเภทที่อยู่อาศัย
หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้นอาจมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลในภายหลัง รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
1.4 ราคาขายที่อยู่อาศัยมือสอง
ที่อยู่อาศัยมือสองที่มีจำนวนประกาศขายมากที่สุด 3 อันดับแรก แยกตามระดับราคา ดังนี้
(1) ระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยมากที่สุด 54,199 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28.6 แต่มีมูลค่ารวม 30,597 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนน้อยที่สุดร้อยละ 4.0 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด โดยหน่วยงานที่ประกาศขายที่อยู่อาศัยมือสองระดับราคานี้มากที่สุดคือ กรมบังคับคดี ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 65.6 ของจำนวนหน่วยทั้งหมด
(2) ระดับราคา 1.01 - 1.50 ล้านบาท มีจำนวน 29,460 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.6 และมีมูลค่า 37,035 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.9 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด โดยหน่วยงานที่ประกาศขายที่อยู่อาศัยมือสองระดับราคานี้มากที่สุด คือ กรมบังคับคดี ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 44.1 ของจำนวนหน่วยทั้งหมด
(3) ระดับราคา 2.01 - 3.00 ล้านบาท มีจำนวน 28,463 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.0 และมีมูลค่า 70,619 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.3 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด โดยหน่วยงานที่ประกาศขายที่อยู่อาศัยมือสองระดับราคานี้มากที่สุด คือ บุคคลธรรมดาและตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 47.1 ของจำนวนหน่วยทั้งหมด
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายมีระดับราคาไม่เกิน
7.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยในจำนวนนี้มีระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากที่สุดทั้งหน่วยและมูลค่าร้อยละ 82.4 และร้อยละ 89.4 ตามลำดับ ในขณะที่ระดับราคามากกว่า 7.50 ล้านบาท มีจำนวนและมูลค่าลดลง โดยระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาท ลดลงมากที่สุดทั้งหน่วยและมูลค่าร้อยละ -9.8 และร้อยละ -6.1 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
(รายละเอียดตามตารางที่ 4)
ตารางที่ 4 จำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายทั่วประเทศ แยกตามระดับราคา
หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้นอาจมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลในภายหลัง รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
1.5 ที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั่วประเทศ แยกตามจังหวัด
จังหวัดที่มีอันดับมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่มีการประกาศขายสูงสุด 10 จังหวัดแรก (เรียงตามมูลค่า)
ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี เชียงใหม่ ปทุมธานี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครปฐม และระยอง มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 79.5 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั่วประเทศ แสดงให้เห็นว่าอุปทานที่อยู่อาศัยมือสองยังคงมีการประกาศขายมากที่สุดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน โดยกรุงเทพมหานคร มีที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายมากที่สุดรวม 43,274 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.9 มีมูลค่า 344,257 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากถึงร้อยละ 45.4 ของที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายทั่วประเทศ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า กรุงเทพมหานครมีจำนวนหน่วยประกาศขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 แต่มีมูลค่าลดลงร้อยละ -10.9 มีราคาประกาศขายเฉลี่ยประมาณ 8.0 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีราคาเฉลี่ย 9.1 ล้านบาทต่อหน่วย และเป็นการประกาศขายห้องชุดมากที่สุด
สำหรับจังหวัดอันดับที่ 2 - 10 มีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกันร้อยละ 36.5 และสัดส่วนของมูลค่ารวมกันร้อยละ 34.1 โดยภูเก็ตมีราคาประกาศขายเฉลี่ยสูงที่สุด 8.3 ล้านบาทต่อหน่วย ทั้งนี้ หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จังหวัดอันดับที่ 2 – 10 มีการประกาศขายที่อยู่อาศัยมือสองเพิ่มขึ้นทุกจังหวัด โดยสุราษฎร์ธานีมีมูลค่าประกาศขายเพิ่มขึ้นสูงสุดร้อยละ 91.9 เป็นการประกาศขายบ้านเดี่ยวมากที่สุด รองลงมาได้แก่ เชียงใหม่ มีมูลค่าประกาศขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.1 เป็นการประกาศขายบ้านเดี่ยวมากที่สุด และนครปฐม มีมูลค่าประกาศขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.7 ประกาศขายทาวน์เฮ้าส์มากที่สุด (รายละเอียดตามตารางที่ 5)
ตารางที่ 5 จำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายสูงสุด 10 อันดับแรก เรียงตามมูลค่า (ลบ.)
หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้นอาจมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลในภายหลัง รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
2. สถานการณ์ด้านอุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง
2.1 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ
ในไตรมาส 2 ปี 2568 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศจำนวน 50,292 หน่วย ลดลงร้อยละ -8.6 และมีมูลค่า 101,304 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -11.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน (QoQ) ทั้งในด้านจำนวนหน่วยและมูลค่า ร้อยละ 18.2 และร้อยละ 16.8 ตามลำดับ สะท้อนถึงความต้องการในตลาดบ้านมือสองที่ขยายตัวขึ้นอย่างชัดเจนในไตรมาสนี้ ปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการฟื้นตัว ได้แก่ มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนอง เหลือเพียงประเภทละร้อยละ 0.01 สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท
นอกจากนี้ บ้านมือสองยังถือเป็นอีกทางเลือกสำคัญของผู้ที่มีกำลังซื้อ เนื่องจากสามารถได้ที่อยู่อาศัย
ในทำเลเดียวกันกับบ้านใหม่ แต่ในราคาที่ถูกกว่า ทำให้ตลาดบ้านมือสองมีบทบาทในการรองรับความต้องการของผู้บริโภคท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ (รายละเอียดตารางที่ 6)
ตารางที่ 6 จำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ
หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้นอาจมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลในภายหลัง รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
เมื่อพิจารณาเป็นรายประเภท พบว่า ส่วนใหญ่เป็นการโอนบ้านเดี่ยวจำนวน 21,281 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน
ร้อยละ 42.3 และมีมูลค่า 47,016 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 46.4 ของหน่วยและมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองทั้งหมด โดยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองลดลงทุกประเภท โดยห้องชุดมีจำนวนหน่วยลดลงมากที่สุดร้อยละ -13.1 และมูลค่าลดลงร้อยละ -18.0 (รายละเอียดตารางที่ 7)
ตารางที่ 7 จำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง แยกตามประเภทที่อยู่อาศัย
หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้นอาจมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลในภายหลัง รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
2.2 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ แยกตามระดับราคา
จำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศในไตรมาส 2 ปี 2568 ลดลงทุกระดับราคา ส่วนใหญ่อยู่ในระดับไม่เกิน 1.00 ล้านบาท มีจำนวน 17,650 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.1 รองลงมา คือ ระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีจำนวน 9,151 หน่วย มีสัดส่วนร้อยละ 18.2 ขณะที่ด้านมูลค่า พบว่า ระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาทมีมูลค่าการโอนมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.7 หรือคิดเป็นมูลค่า 22,999 ล้านบาท รองลงมาคือระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 18.3 หรือคิดเป็นมูลค่า 18,499 ล้านบาท โดยพบว่าระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท มีหน่วยและมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ลดลงมากที่สุดร้อยละ -18.8 และร้อยละ -19.0 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) (รายละเอียดตามตารางที่ 8)
ตารางที่ 8 จำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง แยกตามระดับราคา
หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้นอาจมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลในภายหลัง รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
2.3 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ แยกตามจังหวัด
จังหวัดที่มีอันดับมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสูงสุด 10 จังหวัดแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ภูเก็ต นนทบุรี เชียงใหม่ สมุทรปราการ ปทุมธานี ระยอง สงขลา และนครราชสีมา มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 69.2 ของมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน
โดยกรุงเทพมหานครมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองมากที่สุดจำนวน 10,028 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.9 และมีมูลค่า 28,621 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28.3 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า จังหวัดที่มีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสูงสุด 10 อันดับแรก มีมูลค่าลดลงเกือบทุกจังหวัด โดยปทุมธานีมีมูลค่าลดลงมากที่สุดร้อยละ -18.7 ขณะที่สงขลาและนครราชสีมามีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 และร้อยละ 3.9 ตามลำดับ (รายละเอียดตามตารางที่ 9)
ตารางที่ 9 จำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง แยกตามจังหวัด
หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้นอาจมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลในภายหลัง รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
ข่าวเด่น